บลจ.กสิกรไทยตั้งเป้า AUM ปีหนูโต 6% รุกขยายฐานลูกค้าออนไลน์ อีก 16% จากลูกค้ากองทุนรวมทั้งหมด หลังปีที่ผ่านมาทำยอดซื้อขายช่องทางดิจิทัลไปแล้วกว่า 3 แสนล้านบาท เชื่อกอง SSF มีโอกาสทำยอดนักลงทุนเพิ่มอีก 5-7 หมื่นล้านบาทแต่ต้องมีกองที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ระบุหุ้นไทยปีนี้อยู่ในกรอบ 1,550 ถึง 1,700 จุด แนะจับตา ไวรัสโคโรน่า ปัจจัยเสี่ยงช่วง 6 เดือน
นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ในปีนี้อุตสหกรรมกองทุนน่าจะเติบโตอยู่ที่ประมาณ 6% และ บลจ.กสิกรฯ น่าจะมีทรัพย์สินภายใต้การจัดการ (AUM) เติบโตได้ในระดับเดียวกัน โดยเชื่อว่าการยกเลิกกองทุน LTF จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตในปีนี้ไม่นากนัก เนื่องจากคาดว่าจะมีเงินที่ไถ่ถอนหน่วยลงทุนออกจากระบบเพียงหลักพันล้านถึงกว่าหมื่นล้านบาทเท่านั้น
ส่วนผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาของบริษัทมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) อยู่ที่ 1.36 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวม 1.02 ล้านล้านบาท ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 1.77 แสนล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 1.63 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดจำแนกตามธุรกิจอยู่ที่ 19.5%, 14.7% และ 14.6% ตามลำดับ โดยยังคงครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม (ข้อมูลจาก AIMC ณ 30 ธ.ค. 2562)
สำหรับแผนการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายปี 2563 นั้น บลจ.กสิกรไทยยังคงตั้งเป้าการเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจกองทุนด้วยการรักษาฐานลูกค้าเดิม ขยายฐานลูกค้าใหม่ และเพิ่มศักยภาพการลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัล โดยมีแผนออกกองทุนใหม่ทั้งที่เป็นกองทุนทั่วไป และกองทุนทางเลือกอย่าง Private Equity Fund รวมแล้วกว่า 6 กองทุน ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย
สำหรับการขยายฐานลูกค้าใหม่ผ่านกองทุน SSF นายวศินมองว่ายังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก โดยเทียบได้จากจำนวนสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ในระบบที่มีอายุเฉลี่ยต่ำกว่า 45 ปี และมีศักยภาพเข้าลงทุนในกองทุน SSF ได้ ซึ่งคาดว่ามีอยู่ประมาณ 500,000 ราย หรือคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนกว่า 50,000-70,000 ล้านบาท โดยแนวทางการขยายฐานลูกค้าของกองทุนประเภทนี้จะสามารถทำได้ ทั้งหมด 3 แนวทาง ประกอบด้วย 1. การจัดตั้งกองทุนใหม่ 2. การทำแชร์คลาสแบ่งประเภทนักนักลงทุนจากกองทุนที่มีอยู่แล้ว และ 3. การจัดตั้งกองทุนในลักษณะฟีดเดอร์ฟันด์เพื่อนำเงินไปลงทุนในกองทุนเดิมที่บริษัทมีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม 2 แนวทางสุดท้ายดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้มากที่สุดเนื่องจากมีต้นทุนในการบริหารจัดการต่ำกว่า
ส่วนการขยายฐานผ่านการเปิดบัญชีกองทุนออนไลน์ (Online Opening Account) เราได้มองเห็นอัตราการเติบโตของผู้ลงทุนกลุ่มคนรุ่นใหม่จากยอดการเปิดบัญชีกองทุนออนไลน์ในปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ที่มีอายุระหว่าง 20-30 ปีที่ได้เข้ามาเปิดบัญชีกองทุนออนไลน์ผ่าน App K PLUS และ K-My Funds กว่า 55% นอกจากนี้ บลจ.กสิกรไทยได้เตรียมแนวทางการออกกองทุน SSF เพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความต้องการด้านใดด้านหนึ่ง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมที่ต่ำ เข้าใจได้ง่าย และสอดรับกับกระแสโลก (New Trend) หรือครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน
โดยจำนวนลูกค้าที่ลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลในปีที่ผ่านมามีประมาณกว่า 60% จากจำนวนลูกค้ากองทุนรวมทั้งหมด ซึ่งรวมเป็นมูลค่าการซื้อขายกว่า 300,000 ล้านบาท ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยได้ตั้งเป้าจำนวนลูกค้าที่ลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มขึ้นอีก 16% จากจำนวนลูกค้ากองทุนรวมทั้งหมด
นายวศินกล่าวอีกว่า มุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2563 นั้น ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังคงมีความเสี่ยงจากประเด็นทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ประเด็น Brexit และความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ (Geopolitical Risk) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี นโยบายการเงินของประเทศแกนหลักยังคงผ่อนคลายทั้งด้านนโยบายดอกเบี้ย และการอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการซื้อพันธบัตรเพื่อประคองการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้น ทำให้ส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุน
ด้านตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับอัตราคาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2563 ที่ประมาณ 6-8% โดยคาดว่าตลาดหุ้นไทยในปี 2563 จะอยู่ในกรอบ 1,550-1,700 จุด และมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นแตะ 1,700 จุดในบางช่วง สะท้อน Forward PE ที่ 16.7 เท่า และ Dividend Yield ที่ประมาณ 3.17%
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีความเสี่ยงจากไวรัสโคโรนาที่กำลังระบาดอยู่ในประเทศจีน โดยเชื่อว่าน่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในช่วงเวลานี้ และส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยได้ แต่ก็เชื่อว่ารัฐบาลจีนน่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ภายใน 6 เดือน โดยดูได้จากประสบการณ์และเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นหลังจากเคยเผชิญกับปัญหาโรคซาร์สมาแล้วในอดีต ซึ่งเชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยไม่น่าจะปรับตัวลงต่ำกว่า 1, 500 จุด ในกรณีที่ปัจจัยเสี่ยงทั้งหมดมีความเลวร้ายลงกว่าที่ประเมินไว้
นายวศินกล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมามีการแนะนำพอร์ตการลงทุนให้ลูกค้าผ่าน App K-My Funds ถือเป็นแนวทางให้ลูกค้าได้กระจายการลงทุนตามความเสี่ยงที่เหมาะสม ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสทำกำไรได้ดีกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งเพียงอย่างเดียว และน่าจะเป็นการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ลงทุนได้ดียิ่งขึ้นในปัจจุบัน โดยจะเห็นได้จากตัวอย่างการลงทุนในปีที่ผ่านมาของพอร์ตแนะนำ FITL และ FITXL ที่มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยซึ่งคำนวณจากดัชนีอ้างอิงอยู่ที่ 7.4% ต่อปี และ 9.9% ต่อปี ตามลำดับ
ทั้งนี้ บริษัทพบว่ามีลูกค้าเพียง 15% เท่านั้นที่ลงทุนด้วยตัวเองและสามารถเอาชนะพอร์ตแนะนำได้ ในขณะที่อีก 85% ไม่สามารถเอาชนะพอร์ตแนะนำได้ อีกทั้งจากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ยังมีสภาพคล่องสูง ในขณะที่มีอัตราการเติบโตต่ำ ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปท่ามกลางความไม่แน่นอน ซึ่งผู้ลงทุนต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายตลาดประกอบกัน ดังนั้น การกระจายการลงทุนจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยผู้ลงทุนสามารถใช้พอร์ตแนะนำเป็นแนวทางในการลงทุนได้ ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยได้ตั้งเป้าบริหารพอร์ตแนะนำเพื่อสร้างผลตอบแทนขั้นต่ำ 3% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่รับความเสี่ยงได้น้อยที่สุด