กองทุนรวมบัวหลวงมองตลาดหุ้นครึ่งปีหลังผันผวนลดลง ขณะที่การปรับ ครม.และประท้วงทางการเมืองไม่กระทบตลาดหุ้นไทย แนะลงทุนหุ้นต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐฯ และจีน เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูง
นายสันติ ธนะนิรันดร์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมบัวหลวง จำกัด กล่าวถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีว่าจะไม่ผันผวนรุนแรงเหมือนครึ่งปีแรก และยังมีทิศทางอัปไซต์ พร้อมมองการระบาดรอบ 2 อาจมีความเป็นไปได้ แต่จะไม่ทำให้เกิดการล็อกดาวน์เหมือนการระบาดรอบแรก รวมทั้งไม่ส่งผลต่อตลาดรุนแรงเหมือนรอบแรก เนื่องจากมีมาตรการเยียวยาจากรัฐบาลและธนาคารกลางของไทย รวมทั้งหลายประเทศออกมาต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม มองความเสี่ยงหลักต่อตลาดหุ้น คือ การแพร่ระบาดของโควิด-19 และความล่าช้าของวัคซีน ขณะที่ความเสี่ยงระยะกลาง คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่นำไปสู่การปรับขึ้นของดอกเบี้ยนโยบายและภาวะเงินเฟ้อ มองจีดีพีไทยปี 2563 ติดลบ 8% อัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัวในระดับ 0.5% และกรอบเงินบาท 31-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนกรณีการปรับคณะรัฐมนตรีโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ มองไม่มีผลกระทบต่อตลาดเพราะนายกรัฐมนตรียังเป็นคนเดิม และเชื่อว่าการดำเนินนโยบายด้านการลงทุน โดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และมาตรการเยียวยาต่างๆ จะยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศของกลุ่มผู้ชุมนุมขณะนี้ก็มองว่าไม่กระทบต่อตลาดหุ้น เพราะตัวขับเคลื่อนหลักของตลาดหุ้นขณะนี้คือสภาพคล่องในระบบ
พร้อมแนะการจัดพอร์ตการลงทุนให้กระจายการลงทุนให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการลงทุน ความเสี่ยงที่ได้รับ รวมถึงอายุ หากเดิมมีสินทรัพย์เสี่ยงน้อยเกินไปก็ควรเพิ่มสัดส่วนนี้ ขณะเดียวกันควรกระจายความเสี่ยงของการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั้งในและต่างประเทศ ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือก เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน และทองคำ เป็นต้น โดยต้องเน้นมุมมองการลงทุนในระยะยาว ทยอยลงทุนในภาวะที่ตลาดย่อตัวลงมา ไม่ควรเก็งกำไรระยะสั้น ที่สำคัญควรวางแผนการลงทุนและมีสินทรัพย์ส่วนที่เตรียมไว้สำหรับสภาพคล่องให้เพียงพอที่จะผ่านช่วงวิกฤตโควิดนี้ไปได้
สำหรับสัดส่วนการลงทุน แบ่งเป็นสภาพคล่องหรือลงตราสารหนี้ 10% และ 90% ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง แบ่งเป็นตราสารทุน 60% ซึ่งสัดส่วนสำหรับหุ้นไทยและต่างประเทศขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หากรับความเสี่ยงได้มาก แนะลงทุนในหุ้นต่างประเทศในสัดส่วนที่สูงกว่าในประเทศ เพราะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ส่วนที่เหลือลงทุนใน ทองคำ และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยให้มุมมองต่อหุ้นไทยที่ยังไปต่อได้ ได้แก่กลุ่มค้าปลีก, กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มโรงไฟฟ้า ขณะที่หุ้นต่างประเทศ มองที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐฯ และจีน