นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า หลังจากที่ บลจ.กสิกรไทยได้เปิดเสนอขายกองทุนรวมเพื่อการออมแบบพิเศษ (SSFX) อย่างกองทุน K-SUPSTAR-SSFX ไปเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้มีผู้ลงทุนเป็นจำนวนมากให้ความสนใจลงทุน แม้ว่าตัวเลขภาพรวมทั้งอุตสาหกรรมยังไม่สูงมากนัก เหตุจากดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น และผู้ลงทุนยังคงมีความกังวลต่อสถานการณ์ COVID-19 แต่เชื่อว่าบรรยากาศการลงทุนจะกลับมาเป็นปกติในไม่ช้า
”สำหรับภาพรวมการลงทุนมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องขานรับการคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงธนาคารกลางของประเทศแกนหลักต่างยังคงดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลาย ในขณะที่นักลงทุนทั่วโลกยังคงมีความระมัดระวังในการลงทุนอยู่ อย่างไรก็ตาม ตลาดอาจได้รับแรงกดดันในระยะสั้นทำให้ยังผันผวนสูง และเคลื่อนไหวตามทิศทางของสถานการณ์ COVID-19 มาตรการเยียวยาที่ทยอยออกมา และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 1 ปี 2563 โดยผู้ลงทุนยังคงต้องติดตามปัจจัยที่มีผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะถัดไป ซึ่งจะขึ้นกับความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาดของแต่ละประเทศ ความสำเร็จในการค้นพบวัคซีน รวมถึงประสิทธิภาพของมาตรการเยียวยาที่แต่ละประเทศต่างเร่งออกมาใช้รวดเร็วกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก” นายวศินกล่าว
ล่าสุดบริษัทได้จัดตั้งกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) จำนวน 4 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ พลัส ชนิดเพื่อการออม (K-FIXEDPLUS-SSF) และกองทุนเปิดเค สตาร์ หุ้นทุน ชนิดเพื่อการออม (K-STAR-SSF) ซึ่งเปิดเสนอขายตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป สำหรับกองทุนเปิดเค โกลบอล อินคัม ชนิดเพื่อการออม (K-GINCOME-SSF) และกองทุนเปิดเค พอสซิทีฟ เชนจ์ หุ้นทุน ชนิดเพื่อการออม (K-CHANGE-SSF) จะเปิดเสนอขายตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป
นายวศินกล่าวต่อไปว่า สำหรับกองทุน SSF ทั้ง 4 กองทุนของ บลจ.กสิกรไทย เป็นการแบ่งชนิดหน่วยลงทุน (Share Class) จากกองทุนรวมเดิมที่มีการบริหารจัดการและผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในแต่ละประเภทสินทรัพย์ มีนโยบายการลงทุนที่สามารถตอบโจทย์ New Normal ได้เป็นอย่างดี ซึ่งทั้ง 4 กองทุนสามารถนำมาผสมผสานเพื่อการจัดพอร์ตได้ตามความเหมาะสมของผู้ลงทุน
สำหรับช่วงเวลานี้ถือเป็นจังหวะที่เหมาะต่อการทยอยเข้าลงทุนในกองทุน SSFX และ SSF เพื่อโอกาสทำกำไรในระยะยาว รวมถึงได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วย ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำให้ลงทุนในกองทุน SSFX ให้เต็มสิทธิ์ภายในวันที่ 30 มิ.ย. 63 เพื่อรับสิทธิ์พิเศษในการลดหย่อนภาษีเพิ่ม 200,000 บาท (ไม่รวมกับยอดลงทุนในกองทุน SSF) แล้วจึงค่อยกระจายการลงทุนมายังกองทุน SSF ซึ่งลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนต้องถือครองหน่วยลงทุนเป็นระยะเวลา 10 ปี นับจากวันที่ซื้อหน่วยลงทุน และกำไรจากการขายคืนจะได้รับการยกเว้นภาษี หากผู้ลงทุนปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด