กองทุนบัวหลวงเชื่อหุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนรับเศรษฐกิจฟื้น สภาพคล่องล้น ระบุหุ้นไทยราคาไม่แพงทยอยลงทุนได้ กลุ่มค้าปลีก โรงพยาบาล โรงไฟฟ้า เหมาะลงทุนเพิ่ม พร้อมแนะกระจายการลงทุนต่างประเทศ เชียร์จีนศักยภาพดี มีโอกาสโตสูง
นายสันติ ธนะนิรันดร์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (กองทุนบัวหลวง) เปิดเผยว่า การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังนี้หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ยังน่าสนใจ โดยตลาดหุ้นมีปัจจัยหลัก คือ ความคาดหวังที่มีต่อความคืบหน้าในการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่า ตั้งแต่กลางปี 2564 เป็นต้นไปโลกจะเริ่มมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ใช้ทั่วไป
ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกต่างก็ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำพร้อมอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ รวมถึงรัฐบาลต่างๆ มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาขนานใหญ่ เพื่อให้ความมั่นใจในการฟื้นฟูและเยียวยาระบบเศรษฐกิจ ส่งผลให้ผู้ลงทุนกลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งเป็นอีกแรงสนับสนุนทำให้ตลาดการลงทุนมีแนวโน้มดีขึ้น
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ถือว่าเป็นจังหวะที่เหมาะสมและราคาไม่แพงจนเกินไป ซึ่งนักลงทุนสามารถทยอยเข้าลงทุนได้ โดยกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจจะเป็น กลุ่มค้าปลีก โรงพยาบาล และพลังงานไฟฟ้า โดยนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงและลงทุนได้ในระยะยาวประมาณ 10 ปีแนะนำว่าควรมีการลงทุนในหุ้นประมาณ 75% ของพอร์ตการลงทุน และควรมีการลงทุนในหุ้นต่างประเทศด้วยเพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทน
"การลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น กองทุนบัวหลวงมองว่า ในระยะสั้นเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมล้วนได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะส่วนใหญ่อยู่ในธุรกิจรูปแบบดั้งเดิม ไม่ได้มีกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีที่ได้ประโยชน์จากช่วงโควิด-19 เหมือนเช่นในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ตลาดได้มีการรับรู้ผลกระทบจากโควิด-19 ที่มีต่อผลการดำเนินงานไปแล้ว 6 เดือน-1 ปีข้างหน้า ดังนั้น การลงทุนต้องมองไปข้างหน้าระยะยาว ซึ่งกองทุนบัวหลวงมองว่ายังมีกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการขยายตัวของสังคมเมืองที่มีความน่าสนใจลงทุน ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก โรงพยาบาล และพลังงานไฟฟ้า โดยกลุ่มเหล่านี้มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน และมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอยู่"
นายสันติกล่าวอีกว่า ปีนี้บริษัทยังคงให้ความสำคัญต่อธีมการลงทุนที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี คือ “เครือข่ายครอบคลุมสร้างความแข็งแกร่ง บรรษัทแข็งแรงสร้างความยั่งยืน” ที่เน้นการลงทุนกับแพลตฟอร์มธุรกิจ และอี-คอมเมิร์ซ รวมทั้งการลงทุนที่คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) หรือ ESG
“การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เห็นภาพธีมลงทุนปีนี้ชัดเจนมากขึ้น จากพฤติกรรมคนทั่วโลกที่ปรับใช้แพลตฟอร์มธุรกิจและอี-คอมเมิร์ซรวดเร็วขึ้น ส่วนในไทย มีหลายบริษัทที่สามารถปรับตัวได้ดี สามารถตอบโจทย์ของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปได้ ขณะที่ประเด็น ESG พบว่าหลังจากโควิด-19 แพร่ระบาดนั้น ผู้ลงทุนได้ให้ความสำคัญต่อบริษัทที่เน้นการเติบโตในระยะยาวอย่างยั่งยืน สะท้อนได้จากเม็ดเงินที่ไหลเข้ากองทุน ESG ทั่วโลกมากขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าผู้ลงทุนตระหนักเรื่อง ESG มากขึ้น และหุ้นกลุ่มที่มี ESG ก็มีผลการดำเนินงานที่ดีด้วย” นายสันติกล่าว
นอกจากนี้ ผู้ลงทุนควรเพิ่มโอกาส โดยการจัดสรรเงินไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่สอดคล้องกับธีมการลงทุนที่กล่าวมา ซึ่งตลาดหุ้นเอเชียโดยเฉพาะจีนถือเป็นตลาดหุ้นที่น่าสนใจ เนื่องจากมีศักยภาพในการเติบโต และมีกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีจำนวนมากที่สอดคล้องกับธีมการลงทุนในปัจจุบัน
ส่วนการจัดพอร์ตลงทุน ควรกระจายการลงทุนให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการลงทุน ความเสี่ยงที่รับได้ รวมถึงอายุ หากเดิมมีสินทรัพย์เสี่ยงอยู่น้อยเกินไปก็ควรเพิ่มสัดส่วนนี้ ขณะเดียวกัน ควรกระจายความเสี่ยงของการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือก เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน และทองคำ เป็นต้น โดยต้องเน้นมุมมองการลงทุนในระยะยาว ทยอยลงทุนในภาวะที่ตลาดย่อตัวลงมา ไม่ควรเก็งกำไรในระยะสั้น
สิ่งที่สำคัญในการลงทุน นอกจากจะกระจายการลงทุนแล้ว ยังต้องวางแผนการลงทุนด้วย เพราะในช่วงโควิด-19 ที่เศรษฐกิจชะลอตัวทำให้สินทรัพย์ส่วนที่เตรียมไว้สำหรับสภาพคล่องมีความสำคัญมากขึ้นเพื่อให้เพียงพอที่จะให้ผ่านช่วงนี้ไปได้ ซึ่งสำหรับคนวัยทำงานแล้วควรวางแผนพอร์ตการลงทุนในระยะยาว ไม่เช่นนั้นแล้วเงินที่เก็บไว้ใช้ในวัยเกษียณอาจจะไม่เพียงพอ โดยเรื่องของการลงทุนนั้น วินัยเป็นสิ่งสำคัญ ได้แก่ ความสม่ำเสมอในการสมทบเงินลงทุน และความอดทนต่อความผันผวน สำหรับคนที่เกษียณแล้วต้องกระจายการลงทุนให้เหมาะสม ไม่จำเป็นต้องมีสัดส่วนหุ้นที่สูงเหมือนในอดีต แม้ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวได้ดีในช่วงที่ผ่านมา เพราะตลาดการเงินยังมีความผันผวนอยู่ ควรจัดสรรเงินลงทุนตามกรอบเป้าหมายที่วางไว้อย่างมีวินัย