วนชัย กรุ๊ป ปลื้ม! ผู้ถือหุ้นใหญ่มั่นใจพื้นฐานธุรกิจแกร่ง ใส่เงินครบตามสัดส่วน สามารถขายหุ้นเพิ่มทุนได้กว่า 631 ล้านบาท ตุนเงินไว้เป็นทุนสำรองในกระเป๋า 631 ล้านบาท ด้านผู้บริหาร “วรรธนะ เจริญนวรัตน์” เผยพร้อมตั้งการ์ดรับมือเศรษฐกิจถดถอย ควบคู่เดินหน้าลุยธุรกิจแบบมั่นใจ
นายวรรธนะ เจริญนวรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ VNG เปิดเผยว่า ผลการเพิ่มทุนจดทะเบียน โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 223,858,125 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อเสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นเดิมฯ ของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) และในอัตรา 7 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุน ในราคาเสนอขายหุ้นละ 3.75 บาท ซึ่งกำหนดวันจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนและรับชำระเงินในระหว่างวันที่ 14-20 ก.ค. 2563 ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากผู้ถือหุ้นอย่างน่าประทับใจ โดยผู้ถือหุ้นใหญ่พร้อมใส่เงินเพิ่มทุนตามสัดส่วนที่ถือ ทำให้มีเงินเข้าบริษัทฯ จากการเพิ่มทุนครั้งนี้จำนวน 631 ล้านบาท ตอกย้ำความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ
“ขอขอบคุณผู้ถือหุ้นทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจในธุรกิจของ VNG ยอมใส่เงินเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยได้รับเงินสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วประมาณ 630 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯ มีเงินทุนหมุนเวียนที่เพียงพอในการประกอบธุรกิจได้อย่างราบรื่น ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่กำลังเผชิญอยู่ ถือเป็นการตั้งการ์ดรับมือเศรษฐกิจถดถอยแบบไม่ประมาท”
ทั้งนี้ การเพิ่มทุนในครั้งนี้ทำให้บริษัทฯ มีความแข็งแกร่งทางการเงินเพิ่มขึ้น และพร้อมสำหรับการดำเนินการตามแผนการลงทุน แผนธุรกิจและแผนการดำเนินงาน และที่สำคัญเงินทุนหมุนเวียนดังกล่าวจะช่วยให้ผลประกอบการของบริษัทฯ ได้กลับมาฟื้นตัวเร็วขึ้น นำไปสู่การเสริมสร้างรายได้และกำไรให้แก่บริษัทฯ รวมถึงเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว
นายวรรธนะกล่าวต่อว่า เชื่อว่าหากสถานการณ์ต่างๆ เริ่มคลี่คลาย จากแผนดำเนินธุรกิจในระยะปานกลางถึงระยะยาวที่บริษัทเตรียมเพิ่มสินค้าใหม่ คือ แผ่น OSB รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากในประเทศต่อต่างประเทศเพื่อลดความเสี่ยงธุรกิจ โดยการพัฒนาตลาดสินค้าสำเร็จผ่านโมเดิร์นเทรดวู้ดสมิตร ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ ผ่านการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวล และโซลาร์รูปท็อป จะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจของบริษัทฯ กลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น เนื่องจากช่วยเพิ่มแหล่งที่มาของรายได้ และลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ ผลักดันให้ผลการดำเนินงานในอนาคตเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง