‘สิงห์ เอสเตท’ เผยแผนครึ่งหลังปี 63 ปรับเป้ารายได้ลง 50% เหลือ 9,000 ล้านบาท เหตุวิกฤตโควิด-19 ยืนยันฐานะการเงินแข็งแกร่ง พร้อมเดินหน้าลงทุนตามแผนเดิม 5 ปี ด้วยงบ 68,000 ล้านบาท
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “S” เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจกลุ่มสิงห์ เอสเตท ในช่วงครึ่งปีหลังว่า แม้สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 แต่บริษัทยังเชื่อมั่นในสถานะการเงินที่มั่นคง โดยมีอัตราหนี้สินต่อทุนเพียง 0.86 เท่า ทำให้บริษัทยังคงแผนยุทธศาสตร์ระยะ 5 ปี (2563-2567) ภายใต้งบลงทุน 68,000 ล้านบาท เหมือนเดิม แต่จะปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนเพื่อสอดคล้องต่อสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมจะเปิดกว้างในการร่วมทุนกันหลากหลายรูปแบบ จากเดิมเน้นซื้อกิจการเป็นหลัก พร้อมกับจะมีการปรับพอร์ตสินทรัพย์ โดยการตัดขายสินทรัพย์บางส่วนที่ให้ผลตอบแทนต่ำออกไป รวมถึงจะทยอยนำอาคารสำนักงานและโรงแรมบางแห่งขายเข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาฯ (รีทส์) ตลอดจนแผนออกหุ้นกู้เพื่อรองรับแผนขยายโรงแรมทั่วโลก
ส่วนแผนการลงทุนโครงการที่อยู่อาศัยตั้งเป้า 30 โครงการ มูลค่ารวม 37,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี โดยพัฒนาโครงการปีละ 5-7 โครงการ แบ่งเป็นสิงห์เอสเตท เน้นลงทุนพัฒนาโครงการระดับบนเป็นหลัก โดยจะหันมารุกบ้านแนวราบเป็นสำคัญ เช่นเดียวกับบริษัทลูกอย่าง บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด นอกจากจะขยายโครงการใหม่ปีละ 3-4 โครงการ ซึ่งจะเน้นกระจายทำเลและเซกเมนต์มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้บริษัทได้มีการปรับเป้ารายได้รวมในปี 2563 ลดลงประมาณ 50% จากเดิมตั้งเป้ารายได้ จำนวน 18,000 ล้านบาท ลดเหลือประมาณ 9,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอโอน 5,500 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่าในไตรมาสที่ 4 ธุรกิจโดยรวมจะสามารถฟื้นตัวได้
“เคยผ่านวิกฤตหนักๆ มา 4 ครั้ง โดยยอมรับว่าวิกฤตครั้งนี้จะหนักที่สุด แต่บริษัทเชื่อมั่นว่าจะผ่านพ้นไปได้ โดยเฉพาะเชื้อโควิด-19 จะผ่านพ้นไปในไตรมาส 4 ปีนี้ ต่อเนื่องถึงต้นปี 2564 และจะกลับมาเติบโตเหมือนเดิม ขณะเดียวกัน สิ่งที่บริษัทยึดมั่นคือ ไม่ลดคน ไม่เลิกจ้าง และเมื่อธุรกิจกลับมาเป็นปกติ บริษัทก็จะเดินในวิถีเดิมเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน” นายนริศ กล่าว
ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ยากลำบากสำหรับการดำเนินธุรกิจ เพราะผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ตลาดค่อนข้างเงียบและกระทบต่อยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์บ้านและคอนโดมิเนียมประมาณ 10-15% แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความแข็งแกร่งด้านการเงิน ประกอบกับลูกค้าที่ซื้อไปแล้วยังต้องการมาโอนกรรมสิทธิ์ ทำให้มีรายได้เข้ามาต่อเนื่อง มีเพียงประมาณ 10% เท่านั้นที่เป็นลูกค้าชาวต่างชาติที่ไม่สามารถเดินทางมารับโอนได้แต่ก็ได้ยืดระยะเวลาออกไป
สำหรับโครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายก็จะชะลอการก่อสร้างไปก่อนเพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน เช่น โครงการ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท ขณะที่โครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ ทั้งอาคารสำนักงานและพื้นค้าปลีกให้เช่าที่ผ่านมากระทบน้อยที่สุด แต่บริษัทมีการช่วยเหลือลูกค้าด้วยการลดค่าเช่า 5-10% อีกทั้งยังมองผลกระทบในอนาคตจากโควิด-19 จะทำให้ความต้องการใช้พื้นที่เช่าสำนักงานลดลง เพราะช่วงล็อกดาวน์หลายบริษัทให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน (Work from home) ซึ่งก็ได้ผลดีคนยอมรับและปรับตัวกับการทำงานวิถีใหม่ได้ ทำให้การใช้พื้นที่สำนักงานให้เช่าในอนาคตอาจจะลดลงประมาณ 15% และในส่วนของธุรกิจโรงแรมซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจของบริษัทที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยอัตราการเข้าพักของโรงแรมทั่วโลกลดลง 50-75% ในส่วนโรงแรมในประเทศลดลง 52% เนื่องจากปิดให้บริการตั้งแต่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ล่าสุด ได้ทยอยเปิดให้บริการแล้ว พร้อมกับปรับตัวโดยหันมาเน้นฐานลูกค้าคนไทยและภูมิภาคเอเชียด้วยกัน ส่วนโรงแรมในอังกฤษก็เช่นกันมุ่งฐานลูกค้าคนท้องถิ่นเป็นหลัก
“หวังว่าวิกฤตโควิด-19 จะผ่านพ้นไปโดยเร็ว และภายหลังวิกฤต เราเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจและการลงทุนใหม่ๆ ที่น่าสนใจพร้อมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยจะพิจารณาลงทุนตามความเหมาะสมและมีเกณฑ์ที่เข้มงวดในการตัดสินใจลงทุน เพื่อให้ได้สินทรัพย์ที่มีคุณภาพและโอกาสเพิ่มมูลค่าในอนาคต เราจะเดินหน้าขยาย 3 ธุรกิจหลักตามแผน โดยธุรกิจที่พักอาศัยและอาคารสำนักงาน จะมีการขยายไปยังทำเลใหม่ๆ สร้างสรรค์โครงการคุณภาพตอบรับโจทย์ New Normal ด้วยรูปแบบธุรกิจ New Living and Working Cluster ส่วนธุรกิจโรงแรม จะสร้างรายได้เพิ่มพร้อมมองหาพันธมิตรที่เหมาะสม ด้วยกลยุทธ์ Smart M&A และ Asset Light Model” นายนริศกล่าว
นอกจากนี้ ในช่วงวิกฤตโควิด-19 บริษัทฯ มีการดูแลและบริหารจัดการทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ และรักษาอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (Net interest bearing debt to equity ratio) อยู่ในระดับต่ำ 0.86 เท่า ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมาจากการนำบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมทั้งขายสิทธิการเช่า 30 ปี ของอาคารสำนักงานซันทาวเวอร์สให้แก่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (SPRIME REIT) จึงทำให้บริษัทฯ มีความพร้อมและสามารถลงทุนขยายธุรกิจตามแผนที่วางไว้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินเพื่อรองรับโอกาสในอนาคต โดยจะนำอาคารสำนักงานเมโทรโพลิศและพื้นที่ค้าปลีกซันพลาซาเข้ากอง REIT รวมถึงการออกหุ้นกู้ต่อไป
ส่วนแผนลงทุน 5 ปี เงินลงทุน 68,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสำหรับพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย จำนวน 30 โครงการ มูลค่า 37,500 ล้านบาท ทั้งบริษัทสิงห์ เอสเตท และบริษัทในเครือ เฉลี่ยลงทุนเปิดโครงการใหม่ 5-7 โครงการต่อปี ส่วนช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะเปิดโครงการใหม่ 3-4 โครงการ เน้นโครงการแนวราบ สำหรับธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก ยังคงตั้งเป้าขยายพื้นที่สำนักงาน 300,000 ตารางเมตร ในระยะเวลา 5 ปี ขณะที่ธุรกิจโรงแรมยังคงแผนลงทุนในกลุ่มเอเชียแปซิฟิก ที่มีศักยภาพสูง ตั้งเป้าขยายธุรกิจจาก 39 โรงแรมเป็น 80 โรงแรม ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ใน 5 ปี
“SHR ตั้งเป้าที่จะขยายจำนวนโรงแรมเป็น 2 เท่า จาก 39 แห่ง ทั่วโลกในปัจจุบัน เป็น 80 แห่ง ภายในเวลา 5 ปี โดยมุ่งเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวในระดับบน (Upper Upscale Segment) และมอบประสบการณ์การพักผ่อนในรูปแบบที่แตกต่างและสร้างสรรค์ให้แก่ลูกค้า นอกจากนี้ SHR ได้พัฒนาแบรนด์ใหม่ที่จะเปิดตัวในเร็วๆ นี้ เป็นโมเดลธุรกิจในแบบ Asset Light Model ที่จะช่วยสร้างรายได้ประจำให้มากขึ้น และเพิ่มการเติบโตของพอร์ตโฟลิโอ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูง” นายเดิร์ก อังเดร ลีน่า คุยเบอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าว