“สโตนเฮ้นจ์” เผยสต๊อกงานในมือหลังเข้าถือหุ้น AEC พุ่ง 4,500 ล้านบาท มั่นใจรายได้ปี 63 เติบโตตามเป้าหมายที่ 80% หรือมีรายได้รวม 1,200-1,500 ล้านบาท เชื่อครึ่งปีหลังภาครัฐเร่งประมูลงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ หลังชะงักเพราะพิษโควิด-19 ด้านเอกชนเดินหน้าลงทุนโครงการอาคารสำนักงาน-มิกซ์ยูส เล็งร่วมประมูลงานที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างโครงการใหม่ภาครัฐ-เอกชนดันสต๊อกงานในมือสิ้นปีแตะ 5,000 ล้านบาท
นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) (STI) ที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง และให้บริการออกแบบงานด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม กล่าวว่า หลังการเข้าลงทุนซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด (AEC) จะทำให้สัดส่วนงานปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างของกลุ่ม STI เปลี่ยนแปลง โดยจะมีสัดส่วนงานภาคเอกชนอยู่ที่ 70% และมีสัดส่วนงานภาครัฐ 30% จากเดิมที่มีสัดส่วนงานภาคเอกชน 90% และงานภาครัฐ 10% เนื่องจากสต๊อกงานที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างของ AEC ส่วนใหญ่เป็นงานโครงการภาครัฐ
นอกจากนี้ การขยายการรับงานที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างของ สโตนเฮ้นจ์ฯ ยังเป็นการลดความเสี่ยงของธุรกิจ ซึ่งบริษัทตั้งเป้าว่าในอนาคต 2-3 ปีข้างหน้า สัดส่วนการรับงานในภาคเอกชนและโครงการภาครัฐจะมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทได้ปรับประมาณการเป้าหมายผลการดำเนินงานให้สอดรับต่อปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้น โดยตั้งเป้าว่าในปี 63 จะมีรายได้เติบโตขึ้น 80% จากเป้าหมายเดิมจะมีอัตราการเติบโตของรายได้ที่ 10% เมื่อเทียบกับปี 62 ที่มีรายได้จากการให้บริการกว่า 712 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 85.5 ล้านบาท
ขณะที่งานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ของสโตนเฮ้นจ์ฯ และ AEC รวมกัน ณ ปัจจุบันมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท และมีโอกาสต่อยอดขยายงานร่วมกันในอนาคต โดยเฉพาะในส่วนของงานภาครัฐ ซึ่งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะมีการผลักดันโครงการขนาดใหญ่ออกมาอีกหลายโครงการ เช่น โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด มอเตอร์เวย์ และรถไฟทางคู่ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในข่วงที่เหลือของปี หลังจากที่ต้องชะลอการประมูลงานโครงการหลายๆ โครงการออกไปจากผลกระทบการระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้รัฐต้องนำงบประมาณส่วนใหญ่ไปช่วยเหลือประชาชน
ขณะเดียวกัน จะยังมีโครงการขนาดใหญ่จากภาคเอกชนที่กำลังทยอยเข้าสู่ตลาด เช่น โครงการอาคารสำนักงาน และ โครงการ mixed use ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจา 6-7 โครงการ ซึ่งมีสัดส่วนที่เป็นงานของ STI มูลค่าราว 300-400 ล้านบาท รวมไปถึงงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจา 3-4 โครงการที่จะทยอยรู้ผลประมูลในข่วงที่เหลือของปี ซึ่งจะทำให้บริษัทมีสต๊อกงานในมือ ณ สิ้นปีนี้ เพิ่มเป็น 5,000 ล้านบาทได้ไม่ยาก
“บริษัทคาดการผลประกอบการในปี 63 และมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตตามเป้าหมายที่ 80% หรือมีรายได้รวมประมาณ 1,200-1,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการรับรู้รายได้ AEC เข้ามาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/63 ขณะที่การรับรู้รายได้ในส่วนงานของบริษัทเองก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน”
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาและตรวจสอบสถานะทางการเงินการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ที่มีรูปแบบธุรกิจใกล้เคียงกัน เพื่อเข้ามาเสริมประสิทธิภาพในการดำเนินงานของ STI และ AEC ให้สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทยังเหลือเงินทุนจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ราว 40-50 ล้านบาท และยังสามารถใช้เงินกู้จากสถาบันทางการเงินเพิ่มเติมได้