บล.ไทยพาณิชย์ แนะจับตาแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคบริการใน 3 ปัจจัย คือ 1.การฟื้นตัวช้า 2. อัตราการผิดนัดชำระหนี้สูงขึ้นของธุรกิจขนาดเล็กและกลาง 3. ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์กลยุทธ์การลงทุนในไตรมาสที่ 3/63 หวั่นไวรัสโควิดกลับมาระบาดซ้ำรอบสอง
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ หรือ SCBS กล่าวถึงทิศทางการลงทุนในไตรมาสที่ 3/2563 ว่า ประเมินว่าเป้าหมายดัชนี SET INDEX ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1,428 จุด จากเดิม 1,450 จุด เนื่องจากแนวโน้มการลงทุนในระยะยาวทั้งภาวะเศรษฐกิจในประเทศ และ ต่างประเทศ ยังมีความผันผวน และส่งสัญญาณว่าฟื้นตัวช้าตลอดจนอัตราการผิดนัดชำระหนี้ของธุรกิจขนาดกลางและเล็กที่เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ที่มีความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่อาจจะกลับมาระบาดในรอบ 2
ขณะเดียวกันในส่วนของกำไรบริษัทจดทะเบียนหรือ Earning Per Share ทาง บล.ไทยพาณิชย์ ได้มีการปรับลดประมาณลงเหลือ 62.57 บาท/หุ้น หรือ ลดลง 27% จากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 86.19 บาท/หุ้น และ ลดลงจากไตรมาส 2/63 ที่ 68 บาท/หุ้น หรือ ลดลง 22% จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ปรับตัวลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ลดลงค่อนข้างมาก จากเศรษฐกิจที่ชะลดตัวลงเร็วและฟื้นตัวขึ้นช้ากว่าปกติที่คาดไว้
"ประเมินทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยปีหน้าอยู่ที่ 1,430 จุด และ อัตราการเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะพลิกกลับมาเป็นบวกได้ 28% หรือ 79.96 บาท/หุ้น โดยประเด็นที่นักลงทุนต้องติดตามคือการปรับคณะรัฐมนตรี และ ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ เนื่องจากมีผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และ การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐในช่วงครึ่งปีหลัง หากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ออกมาไม่ทันในช่วงไตรมาส 3/63 จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว เพราะเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้หลักให้กับประเทศ" นายสุกิจ กล่าว
ขณะเดียวกันแม้ตลาดการเงินฟื้นตัว และเกือบสู่ภาวะปกติแล้ว แต่ยังมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง และด้านเครดิตปรับตัวลดลง ควบคู่กับเงินทุนไหลเข้าของต่างชาติ และ credit spread ที่เริ่มมีเสถียรภาพ จึงมองว่า downside มีจำกัด และจะเห็นการหมุนรอบลงทุนไปยังหุ้นคุณค่า (value stock) และ หุ้นวัฏจักร (cyclical stock) และ ภาพของ easy returns จะไม่มีเห็นอีกต่อไป
อย่างไรก็ตามจากการที่ดัชนีปีนี้มีโอกาสหลุด 1,300 จุดได้ โดยให้กรอบล่างไว้ที่ 1,280 จุด หากมีปัจจัยลบเข้ามากดดันเพิ่ม เพราะปัจจุบันตลาดหุ้นไทยยังมีความเปราะบาง หลังมูลค่าหุ้นปรับตัวขึ้นสูงกว่าปัจจัยพื้นฐาน และ นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิกว่า 2 แสนล้านบาท มาถึงตอนนี้ก็ยังชะลอการซื้ออยู่ ซึ่งหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ก็มีโอกาสที่จะทบทวนปรับดัชนีลงใหม่ในระยะถัดไป
ทั้งนี้กลยุทธ์การลงทุนในไตรมาสที่ 3/63 แนะนำสร้างพอร์ตลงทุนใน 2 รูปแบบคือ เน้นหุ้นกลุ่มอาหาร ค้าปลีก ขนส่ง และ ไอซีที ได้แก่ พอร์ตลงทุนแบบ defensive ซึ่งประกอบด้วย top picks จากไตรมาส 2/63 ได้แก่ บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM บริษัท บีทีเอส กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF และ หุ้น defensive ใหม่ที่คาดว่า จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด เช่น บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH
ส่วนอีกพอร์ตลงทุนเชิงกลยุทธ์ (tactical portfolio) หรือ เล่นตามรอบเพื่อเก็งกำไรในระยะ 3 เดือน โดยเน้นหุ้นที่ปรับตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจโลก และ วัฏจักรเศรษฐกิจในประเทศที่มีคุณภาพดี เช่น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL และ บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA