ตั้งแต่เข้ามาซื้อขายเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา หุ้น บริษัท ศรีตรังโกลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ยังคึกไม่หยุด ทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยเคาะกันสนั่นตลอด 5 วันทำการ ราคาหุ้นทะยาน จนวันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม สร้างจุดปิดสูงสุดที่ 74.75 บาท สูงกว่าราคา 40.75 บาท หรือกว่า 117%
STGT เปิดการซื้อขายวันแรกที่ 55.25 บาท และกลายเป็นราคาต่ำสุด ส่วนปิดล่าสุดที่ 74.75 บาท ซึ่งเป็นราคาปิดสูงสุด ท่ามกลางมูลค่าซื้อขายที่หนาแน่นทั้ง 5 วันทำการ โดยเป็นหุ้นน้องใหม่ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในรอบ 3 ปี
แต่ใครจะเชื่อว่า ในช่วงแรกของการจัดสรรหุ้น มีลูกค้าบริษัทผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นหลายราย ปฏิเสธโควตาที่ได้รับการจัดสรร เพราะมองว่า ราคาเสนอขายแพงไป เมื่อเทียบกับค่า พี/อี เรโช จนต้องจัดสรรโควตาให้ลูกค้ารายอื่นแทน
ไม่มีใครคิดว่า STGT จะพุ่งขึ้นมาทะลุ 74 บาท เพราะบทวิเคราะห์โบรกเกอร์หลายราย ประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานอยู่ระดับ 40 บาทเศษ แม้จะมีบางโบรเกอร์ตีมูลค่าหุ้นไว้สูง แต่ราคาเป้าหมายอยู่แถว 56 บาทเท่านั้น
ก่อนเข้ามาซื้อขาย ไม่มีบทวิเคราะห์โบรกเกอร์สำนักใดที่ตีราคาเป้าหมายเกิน 60 บาท
แต่ปัจจุบันมีการปรับราคาเป้าหมายกันใหม่ โดยโบรกเกอร์หลายแห่งประเมินราคาหุ้นใน 12 เดือนข้างหน้าที่ 85 บาท บางแห่งมองที่ 93 บาท ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซียไซรัส จำกัด ตั้งราคาเป้าหมายในสิ้นปี 2564 ที่ 111 บาท สูงกว่าราคาปัจจุบันประมาณ 50% โดยคาดว่า ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตสูงต่อเนื่อง
STGT เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายถุงมือยางที่ใช้ทางการแพทย์และอุตสาหกรรมอื่น โดยได้รับอานิสงส์จากวิกฤตเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ความต้องการถุงมือยางเพิ่มขึ้น จนผลิตไม่ทันตามความต้องการของตลาดโลก ขณะที่ราคาสินค้าที่จำหน่ายปรับตัวขึ้น และมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ ทำให้คาดหมายว่า ยอดการขายจะเติบโตสูง ขณะที่ผลกำไรเพิ่มขึ้น
ผลประกอบการปี 2562 มีรายได้รวม 12,224.02 ล้านบาท กำไรสุทธิ 634.30 ล้านบาท ส่วนไตรมาสแรกปีนี้มีรายได้รวม 3,783.28 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 421.89 ล้านบาท
ค่าพี/อี เรโช หรืออัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 108 เท่า ซึ่งถือว่าสูงมาก ราคาหุ้นที่ซื้อขายปัจจุบัน จึงตั้งอยู่บนความคาดหมาย แนวโน้มผลประกอบการในอนาคต
ทั้งนักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายใหญ่ หรือแม้แต่แมลงเม่า แห่กันเข้าไปซื้ออนาคต STGT ซึ่ง นักวิเคราะห์ประเมินว่า ธุรกิจถุงมือยางยังสดใสต่อเนื่องใน 2 ปีข้างหน้า ราคาหุ้นจึงมีช่องว่างทำกำไร แม้ค่า พี/อี เรโช จะสูงลิบก็ตาม
นักลงทุนที่ได้รับการจัดสรรโควตาจองหุ้น STGT รวยกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะนักลงทุนรายใหญ่อย่าง นายวิชัย วชิรพงษ์ หรือเสี่ยยักษ์ ซึ่งมีหุ้นอยู่จำนวน 22.20 ล้านหุ้น ถ้าคิดจากราคาจอง 34 บาท กำไรหุ้นละ 40.75 บาท จะโกยกำไรรวม 904.65 ล้านบาท
หรือ น.ส.แคทรียา บีเวอร์ อดีตนางแบบชื่อดัง ซึ่งมีความสัมพันธ์กับนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ ถือหุ้นอยู่ 16.322 ล้านหุ้น คิดจากต้นทุน 34 บาท จะฟันกำไร 665.12 ล้านบาท
ส่วนนักลงทุนรายย่อย รวยกันตามอัตภาพ ได้โควตาจัดสรรมากก็รวยมาก ได้โควตาจัดสรรน้อย มีกำไรกันพอหอมปากหอมคอ
5 วันทำการที่หุ้น STGT เข้ามาซื้อขาย ยังไม่มีใครต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัว เพราะราคาปิดวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เป็นราคาปิดสูงสุด แต่ ต่อจากนี้ ไม่มีใครรับประกัน
เพราะราคาที่ยืนอยู่ เป็นราคาอนาคต และต้องซื้อเพื่อถือยาว แต่ถ้าจะ ลุย STGT เพื่อเก็งกำไรระยะสั้น ราคาเริ่มถึงจุดเสี่ยง แล้ว