xs
xsm
sm
md
lg

สมาคมนักวิเคราะห์ชี้ครึ่งปีหลังตลาดยังกังวล COVID-19 กลับมาระบาดใหม่ มอง SET INDEX 1,236 จุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน
สมาคมนักวิเคราะห์มองเทรนด์การลงทุนตลาดหุ้นครึ่งหลังปี 63 ยังน่าห่วง เหตุปัจจัยความกังวลการกลับมาแพร่ระบาดของ COVID-19 ในรอบ 2 อาจกดดันผลประกอบการกำไรบริษัทจดทะเบียนปรับลดลง มอง SET Index ระหว่างปีนับจากนี้มีค่าเฉลี่ยจุดต่ำสุดที่ 1,236 จุด

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน แถลงผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองในด้านการลงทุนและคาดการณ์ทิศทางดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) ในครึ่งหลังของปี 2563 นี้ โดยครั้งนี้มีผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด 20 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์จำนวน 15 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจำนวน 4 บริษัท และบริษัทโกลด์ ฟิวเจอร์ส 1 บริษัท ซึ่งได้ปรับสมมติฐานหลักเป็นปัจจุบันแล้ว ผลสำรวจโดยสรุปดังนี้ สมมติฐานด้าน GDP ในปีนี้มีค่าเฉลี่ยการขยายตัวที่ -7.21% ส่วนสมมติฐาน GDP ปี 64 นั้นผู้ตอบทุกรายมองว่าเป็นบวกเฉลี่ยอยู่ที่ 4.24% และไม่มีผู้ตอบที่มองแย้งว่า GDP ปี 64 จะติดลบ ทางด้านราคาน้ำมัน ผู้ตอบแบบสอบถามได้ปรับใช้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของปี 2563 ที่ 41.13 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยแยกตามกลุ่ม มีผู้ตอบดังนี้

35-39.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 10.53

40-44.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 63.16

45-49.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 26.32

สำหรับปัจจัยที่มีผลบวกต่อดัชนีราคาหุ้นไทยในครึ่งหลังของปี 2563 ได้แก่ มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก ผู้ตอบแบบสำรวจ 95% เทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลบวก รองลงมา ผู้ตอบ 70% คาดว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา (FED) และผู้ตอบ 50% คาดว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศจะส่งผลบวก ส่วนปัจจัยอื่นๆ ไม่มีปัจจัยใดที่มีผู้ตอบถึง 50% ที่ระบุว่าเป็นบวก

ส่วนปัจจัยที่จะส่งผลในด้านลบต่อตลาดทุนไทยในครึ่งหลังของปี 2563 ได้แก่ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจต่างประเทศ ทั้งอเมริกา ยุโรป เอเชีย รองลงมาคือ ปัจจัยด้านผลประกอบการของ บจ. และสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เป็นปัจจัยที่มีเสียงโหวต 80% ขึ้นไป และเศรษฐกิจภายในประเทศ 75% ตามลำดับ เป็นที่น่าสังเกตว่าปัจจัยทางด้านการเมืองในประเทศนั้นไม่มีผลมากนักต่อทิศทางราคาหุ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยมีผู้ตอบเพียง 10% ที่มองว่าจะเป็นผลบวก และมีผู้ตอบ 35% ที่มองแย้งว่าจะเป็นผลลบ สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ได้สอบถามความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับข้อเสนอแนะว่าภาครัฐควรเร่งนโยบายเรื่องใดที่มีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่เสนอให้ภาครัฐใช้นโยบายการคลัง โดยเฉพาะการช่วยเหลือประชาชนให้มีกำลังซื้อ จำนวน 47.06% ของผู้ตอบ ได้แก่ ชดเชยรายได้ การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ฯลฯ ส่วนด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจ มีผู้ตอบ 41.18% ข้อเสนอได้แก่ การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลง หรือการชดเชยอื่นๆ ที่เป็นรูปธรรมให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ นอกเหนือจากข้อเสนอดังกล่าว มีผู้ตอบ 35.29% ที่เสนอให้ภาครัฐเร่งโครงการลงทุนภาครัฐ มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศเพื่อกระตุ้นการจ้างงาน ด้านการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับลด 0.25% ในครึ่งหลังของปี 2563 ร้อยละ 60 ของผู้ตอบ และคาดว่าคงที่ ร้อยละ 40 ตามลำดับ คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดเฉลี่ยที่ 65.44 บาท ลดจากการสำรวจครั้งก่อน 79.70 โดยแยกตามกลุ่มมีผู้ตอบดังนี้

60-64.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 23.53

65-69.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 64.71

70-74.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 11.76

EPS Growth ของงบปี 2563 คาดว่า EPS Growth เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ -22.30 เมื่อแยกตามช่วงระดับการเติบโตจะอยู่ระหว่างร้อยละ

-1 ถึง -9.99 มีผู้ตอบร้อยละ 11.76

-10 ถึง -19.99 มีผู้ตอบร้อยละ 11.76

-20 ถึง -29.99 มีผู้ตอบร้อยละ 64.71

-30 ถึง -39.99 มีผู้ตอบร้อยละ 11.76

ทั้งนี้ ความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนร้อยละ 45 มองว่าดัชนีราคาหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 3 มีแนวโน้มไปในทิศทางลบ ในขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 35 มองไปในทิศทาง Sideways หรือไม่เปลี่ยนแปลงไปมากจากไตรมาส 2 และร้อยละ 20 มองว่าตลาดจะเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวก ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนคาดว่าดัชนีราคาหุ้นไทย ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,347 จุด สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อการขับเคลื่อนตลาดในไตรมาส 3 นั้น นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 รวมถึงความเสี่ยงของการเกิด Second Wave เป็นปัจจัยลำดับแรกที่มีอิทธิพลต่อทิศทางราคาหุ้นไทยระยะสั้น รองลงมาคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและผลประกอบการ ตามลำดับ สำหรับจุดสูงสุดของ SET Index ในช่วง ก.ค. ถึงสิ้นปี 2563 เฉลี่ยที่ระดับ 1,448 จุด ทั้งนี้ มีผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 72.22 ที่คาดว่าดัชนีจะทำจุดสูงสุด 1,401-1,500 จุด และมีผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 22.22 ที่คาดว่าจุดสูงสุดจะอยู่ในช่วง 1,301-1,400 ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม คาดการณ์จุดต่ำสุดของดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) ระหว่างปีนับจากนี้มีค่าเฉลี่ยจุดต่ำสุดที่ 1,236 จุด ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนคาดเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2563 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,383 จุด ซึ่งมากกว่าผลสำรวจของไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 1,276 จุด ความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุน มีความเห็นว่าร้อยละ 23.71 แนะนำลงทุนหุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย รองลงมา ร้อยละ 19.71 มองว่าลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ และร้อยละ 18.53 แนะนำลงทุนในหุ้นต่างประเทศ/กองทุนหุ้นต่างประเทศ ตามลำดับ

รายชื่อหุ้นเด่นที่นักวิเคราะห์แนะนำ โดยมีจำนวนสำนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป ได้แก่

1. ADVANC โดยมีปัจจัยบวก 3 ปัจจัย คือ 1) บริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งทำให้ยังสามารถจ่ายปันผลได้อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันเงินปันผลอยู่ที่ระดับ 3-4% 2) การเพิ่มขึ้นของการใช้งานบริการอินเทอร์เน็ต Wi-Fi ในช่วงไวรัส COVID-19 ระบาด เพิ่มขึ้นมากถึง 41.5% หลังหลายธุรกิจให้พนักงาน Work From Home 3) เป็นหุ้นใหญ่ที่ยังมีการปรับตัวขึ้นไปไม่มากในช่วงที่ผ่านมา ADVANC มีการปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ราคา 156.50 บาท มาทรงตัวอยู่ที่ระดับราคา 185.00 บาท

2. CK มีประเด็นสนับสนุนจาก ภาพรวมการก่อสร้างในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 มีการชะลอการประมูลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ออกไปหลายโครงการเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 แต่หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศเริ่มลดลงจนกระทั่งเป็น 0 รายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาครัฐเริ่มมีการกลับมาเปิดประมูลโครงการใหญ่ๆ หลายโครงการ ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มูลค่า 1.1 แสนล้านบาท, โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) มูลค่ากว่า 8 หมื่นล้านบาท และยังมีโครงการรอการเปิดประมูลงานเดินรถของรถไฟฟ้าสายสีม่วง (ราษฎร์บูรณะ-คลองบางไผ่) รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ) เป็นมูลค่างานก่อสร้าง 9.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่งผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง

3. CPALL โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากเป็นผู้นำร้านค้าสะดวกซื้อซึ่งจะฟื้นตัวได้ดีที่สุด และได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ผสานกับการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง จะกลับมาหนุนกำไรปีหน้าโต 2 หลัก +14%

4. CPF โดยมีปัจจัยหนุนจากราคาเนื้อสัตว์สูงจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น ชดเชยเงินบาทแข็งได้

5. INTUCH โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปันผลสูงและกระแสเงินสดมั่นคง

สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม และสายการบิน


กำลังโหลดความคิดเห็น