นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด เปิดเผยว่า ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้เกิดการ lock down ส่งผลให้เศรษฐกิจหยุดชะงักทั่วโลกอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แทบทุกธุรกิจได้รับผลกระทบในทางลบ บริษัทต่างๆ จะต้องปรับตัวให้สามารถดำเนินธุรกิจภายใต้สภาวการณ์ใหม่ที่เรียกว่า New Normal การบริหารจัดการลงทุนนั้นจะต้องเปลี่ยนแปลงเช่นกัน การคัดเลือกการลงทุนโดยเฉพาะภายในสองปีนับจากนี้จะมีความยากมากยิ่งขึ้น เนื่องจากอยู่ในช่วงระหว่างการเปลี่ยนแปลงปรับตัวสู่ New Normal ซึ่งการบริหารการลงทุนแบบ Active จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการบริหารแบบ Passive
สำหรับ บลจ.ทาลิส เน้นการบริหารการลงทุนในหุ้นแบบ Active จึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยสามารถใช้บริการได้ในสองรูปแบบ คือ การจัดตั้งกองทุนส่วนบุคคล ซึ่ง บลจ.ทาลิสจะเสนอนโยบายการลงทุนที่ตอบโจทย์โดยเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย หรือลงทุนในกองทุนรวมหุ้นของ บลจ.ทาลิสที่มีให้เลือก 5 นโยบาย ได้แก่ กองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่น (Flexible), กองทุนรวมตราสารทุน (Equity), กองทุนตราสารทุนที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล (Dividend payment), กองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารทุนของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก (Mid-Small cap) และกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารทุนของบริษัทที่มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี (CG)
ทั้งนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนในมุมของผู้ลงทุนคือการปรับลดลงของอัตราดอกเบี้ยที่จะอยู่ในระดับต่ำแบบนี้อีกยาวนาน ดังนั้น การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น การฝากเงินระยะยาวหรือการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลจะได้รับผลตอบแทนที่ต่ำกว่าในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างมาก ดังนั้น หากต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นจะต้องพิจารณาเรื่องการจัดสัดส่วนการลงทุนใหม่ซึ่งหมายถึงต้องยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเพื่อโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น
“ในช่วงเวลานี้ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในบางธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรงและใช้เวลาในการฟื้นตัวนาน ดังนั้น การบริหารแบบ Active น่าจะหลีกเลี่ยงผลกระทบได้ดีกว่าการบริหารแบบ Passive ซึ่งอาจมีข้อจำกัด ทำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในธุรกิจนั้นไม่ได้” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าว
ในส่วนผลตอบแทนของกองทุนภายใต้การบริหารของ บลจ.ทาลิส ระหว่าง ก.พ. และ มี.ค. 63 ปรับตัวลงพร้อม SET Index ที่ปรับตัวลงมาจากผลกระทบสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ช่วงตั้งแต่เดือน เม.ย. ผลตอบแทนได้ปรับตัวดีขึ้น จากการประเมินและปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่ โดยการคัดเลือกลงทุนในบริษัทที่จะสามารถมีผลประกอบการฟื้นกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
ด้านนายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวทางการบริหารจัดการกองทุนภายใต้การบริหารของ บลจ.ทาลิส ว่า ในส่วนของกองทุนตราสารหนี้นั้นยังดำเนินไปตามปกติ โดยผู้จัดการกองทุนยังคงบริหารจัดการกองทุนภายใต้นโยบายลงทุนตามที่ระบุในหนังสือชี้ชวน พร้อมๆ กับการประเมินสภาพตลาดเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ลงทุนมากที่สุด ในขณะที่กองทุนหุ้น บริษัทยังคงให้น้ำหนักกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่จะเข้าไปลงทุนเป็นหลัก โดยจะพิจารณาถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นในแต่ละอุตสาหกรรมว่าได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มากน้อยแค่ไหน และผลกระทบนั้นกินระยะเวลาที่ยาวนานแค่ไหน โดยจะพิจารณาประกอบไปกับโอกาสของการฟื้นตัว กรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลายลง และเนื่องจากแต่ละธุรกิจ แต่ละอุตสาหกรรม ได้รับผลกระทบแตกต่างกัน ดังนั้นผู้จัดการกองทุนจึงมีการประเมินและวิเคราะห์ประเด็นข้างต้นอย่างละเอียด
ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ทาลิสยังประเมินสถานการณ์การลงทุนในช่วงไตรมาส 2 ด้วยว่า ขณะนี้ตลาดยังเผชิญความไม่แน่นอนสูง แม้ที่ผ่านมารัฐบาลของหลายประเทศทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะพยายามออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าในแง่ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวยังถือเป็นปัจจัยใหญ่ที่ต้องติดตาม ในขณะเดียวกัน ความซบเซาทางเศรษฐกิจและภาคธุรกิจที่จะส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 2 ก็ต้องติดตามด้วย เบื้องต้นคาดว่ามีแนวโน้มที่จะลดลงกว่าในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งถือเป็นปัจจัยเชิงลบต่อตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการดูแลภาคธุรกิจและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ของภาครัฐ เป็นหนึ่งในปัจจัยบวกที่จะสนับสนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้บ้าง
บลจ.ทาลิสประเมินว่าตลาดหุ้นไทยในไตรมาสที่ 2 จะยังคงมีความผันผวน เพราะขณะนี้ตลาดยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าการแพร่ระบาดจะคลี่คลายหรือไม่ หรือโอกาสในการแพร่ระบาดระลอก 2 จะเกิดขึ้นหรือไม่ แต่ที่สำคัญ ความเสี่ยงของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 ที่จะลดลงต่อเนื่องจากไตรมาสแรกเป็นปัจจัยลบต่อดัชนีแน่นอน ซึ่งต้องติดตามต่อว่าหลังจากนี้ภาครัฐจะมีมาตรการฟื้นเศรษฐกิจและภาคธุรกิจอย่างไร