“รมช.คลัง” สั่ง "ไอแบงก์" ปรับบทบาทใหม่พัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างงาน สร้างอาชีพชาวมุสลิม สั่งขยายสาขาภาคใต้ให้ครบทุกอำเภอเป็น 100 สาขาทั่วประเทศจากปัจจุบันที่มี 40 สาขา เชื่อภารกิจใหม่จะทำให้ธนาคารฯ เข้มแข็ง ช่วยดึงดูดเงินทุนจากประเทศต่างๆ ที่อยากช่วยชาวอิสลามได้มากขึ้น เผยสัดส่วนสินเชื่อลูกค้าชาวอิสลามในไอแบงก์จะมีต่ำมากคือเพียง 32% ขณะที่สัดส่วนเงินฝากจากชาวมุสลิมจะมีอยู่ที่ 58% ส่วนกำไรไตรมาสแรกของปี 63 มีกว่า 63 ล้านบาท
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายผู้บริหารธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) โดยระบุว่า ไอแบงก์ถือเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนชาวไทยมุสลิม ดังนั้น การดำเนินงานของธนาคารฯ นอกเหนือจากการรับฝากเงิน การปล่อยสินเชื่อแล้ว จำเป็นต้องเข้าไปช่วยยกระดับการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจท้องถิ่นให้แก่ชุมชนมุสลิมซึ่งสอดคล้องต่อนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็งด้วย
ทั้งนี้ ไอแบงก์จึงจำเป็นต้องปรับบทบาทใหม่เพื่อให้ชาวมุสลิมสามารถเข้าถึงการบริการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งธนาคารมาตั้งแต่เริ่มต้น โดยจะต้องเข้าไปช่วยเหลือให้ชาวมุสลิมมีความมั่นคงในชีวิต ปล่อยสินเชื่อในทุกเซ็กเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างงาน โดยเฉพาะเกี่ยวข้องกับอาหารฮาลาล ส่งเสริมฮาลาลในกลุ่ม SMEs รายย่อย เพื่อสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานเติบโตและพัฒนามากขึ้น ทั้งยังมีส่วนสำคัญในการช่วยให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ ให้แก่ชาวมุสลิม โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐตามบทบาทและภารกิจใหม่ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ
การส่งเสริมการพัฒนาอาชีพให้แก่ชาวมุสลิม ไอแบงก์ยังสามารถร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ในโครงการต่างๆ โดยเฉพาะโครงการพัฒนาอาชีพ เช่น ส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ ปลูกพืช พัฒนาวิสาหกิจชุมชน สนับสนุนเยาวชนอายุ 20 ปีขึ้นไป สามารถรวมกลุ่มประกอบอาชีพ โดยมีผู้เชี่ยวชาญช่วยให้การฝึกอบรมให้ความรู้ รวมทั้งไอแบงก์ยังสามารถปล่อยสินเชื่อและค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ธุรกิจ SMEs หรือวิสาหกิจชุมชน ในการนำไปต่อยอดทางธุรกิจหรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนผ่านการร่วมมือกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะชาวมุสลิม ที่ถือเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคใต้ให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ นายสันติ ยังได้ฝากให้ผู้บริหารธนาคารฯ เร่งเพิ่มจำนวนสาขาในภาคใต้เพิ่มขึ้นเป็น 100 สาขา จากปัจจุบันที่มีเพียง 40 สาขา ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่น้อย ดังนั้นจึงควรขยายสาขาในภาคใต้ให้ครบทุกอำเภอ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือชาวมุสลิมที่ส่วนใหญ่อาศัยภาคใต้จำนวนมากตามนโยบายและภารกิจที่ตั้งไว้
ทั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เชื่อว่า หากสามารถทำได้ตามนโยบายที่วางไว้แล้วจะทำให้มีเงินทุนจากต่างประเทศ เช่น ประเทศในตะวันออกกลาง และในอีกหลายประเทศที่ต้องการช่วยชาวมุสลิมมาร่วมลงทุนกับไอแบงก์ ช่วยทำให้ธนาคารเข้มแข็งขึ้น จะได้ไม่ต้องพึ่งพาการเพิ่มทุนจากรัฐบาลในอนาคต แต่หากไอแบงก์ยังขาดเหลือสิ่งใด กระทรวงการคลังก็พร้อมสนับสนุน
"ไอแบงก์ไม่จำเป็นต้องแข่งกับธนาคารพาณิชย์ในเรื่องการทำกำไร แม้ว่าการช่วยเหลือประชาชนจะทำให้ธนาคารกำไรลดลงแต่ไม่เป็นไร เพราะถือว่าเป็นการดำเนินธุรกิจในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ” นายสันติ ย้ำ
อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงโครงสร้างสินเชื่อและเงินฝากของธนาคารฯ ว่า หลังการพิจารณาจะพบว่ายังมีสัดส่วนของลูกค้าชาวมุสลิมน้อยมาก โดยสินเชื่อในเดือน มี.ค.63 จะมีกว่า 54,000 ล้านบาท ซึ่งจะประกอบด้วยสินเชื่อลูกค้ารายใหญ่ 27,174 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 19
ขณะที่สินเชื่อลูกค้า SMEs จะมี 7,825 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14 และสินเชื่อลูกค้ารายย่อย 19,930 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 37 แต่เมื่อแบ่งสัดส่วนลูกค้าสินเชื่อทั้งหมด จำนวน 37,844 ราย จะพบว่า สินเชื่อดังกล่าวเป็นลูกค้ามุสลิม จำนวน 12,215 ราย หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 32 และส่วนที่เหลือเป็นลูกค้าไม่ใช่ชาวมุสลิม จำนวน 25,629 ราย หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 68
ด้านสัดส่วนเงินฝากโดยส่วนใหญ่นั้น จะยังเป็นลูกค้ารายใหญ่ร้อยละ 46 คิดเป็นวงเงิน 36,686 ล้านบาท ลูกค้ารายกลางร้อยละ 21 วงเงิน 1,600 ล้านบาท และลูกค้าย่อยร้อยละ 33 วงเงิน 26,364 ล้านบาท โดยธนาคารมีลูกค้าเงินฝากประมาณ 890,000 ราย ในจำนวนนี้ร้อยละ 58 เป็นลูกค้าที่เป็นมุสลิม หรือประมาณ 513,089 ราย และเป็นลูกค้าไม่ใช่มุสลิมร้อยละ 42 หรือ 376,740 ราย ส่วนกำไรไตรมาสแรกของปี 63 จะมีทั้งสิ้นกว่า 63 ล้านบาท