ดีมานด์ตลาดรับสร้างบ้านพุ่งหลังรัฐปลดล็อกดาวน์ “พีดีเฮ้าส์” เผยยอดจองทำสัญญา และการสอบถามข้อมูลบ้านสร้างเอง 1 สัปดาห์หลังปลดล็อกดาวน์เฟสแรกทะลัก ลูกค้าตัดสินใจเร็ว แจงสัปดาห์แรกยอดเซ็นสัญญาพุ่ง 40 ล้านบาท เปรยสถานการณ์ยังไม่น่าไว้ใจต้องติดตามใกล้ชิด เล็งเปิดตัว 4 แบบบ้านใหม่ราคา 2 ล้านต้นๆ วางเป้า 3 เดือนทุกสาขายอดขาย 3-4 หลัง ยอมรับกำไรบางสุดๆ หวังแค่มีงาน มีรายได้หมุนเวียนผ่านช่วงวิกฤต
นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานบริหาร บริษัท พีดีเฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ให้บริการแฟรนไชส์ “PD House” เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านเริ่มกลับมามีแนวโน้มดีขึ้นอีกครั้ง ภายหลังการปลดล็อกดาวน์เฟสแรกของรัฐบาล ส่งผลให้กลุ่มประชาชนและผู้บริโภคคลายความกังวลจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งทันทีที่มีกระแสการปลดล็อกดาวน์ออกมา มีผลให้กลุ่มผู้บริโภคที่มีแผนจะสร้างบ้านเอง ทยอยกลับมาตัดสินใจปลูกสร้างบ้านมากกว่าในช่วงที่มีการประกาศล็อกดาวน์อย่างชัดเจน จากเดิมที่ก่อนหน้านี้ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังชะลอการตัดสินใจปลูกสร้างบ้านออกไป เพราะกังวลเกี่ยวกับปัญหารายได้ในอนาคตและผลกระทบเศรษฐกิจหดตัว
ทั้งนี้ หลังจากที่มีการปลดล็อกดาวน์มา 1 สัปดาห์เศษ พบว่ากลุ่มลูกค้าเดิมที่เคยติดต่อขอข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างบ้านในช่วงต้นปี (ม.ค.-ก.พ.) ได้กลับเข้ามาสอบถามข้อมูลการสร้างบ้านเพิ่มเติม รวมถึงการสอบถามถึงโปรโมชันต่างๆ ส่วนลูกค้าอีกกลุ่มที่มีการขอข้อมูลไปในช่วงต้นปี มีการตัดสินใจเซ็นสัญญาปลูกสร้างบ้านเร็ว ขณะที่กลุ่มลูกค้าใหม่บางส่วนมีการติดต่อขอข้อมูลไปศึกษาเพียง 1 สัปดาห์ก็ตัดสินใจเซ็นสัญญาสร้างบ้านทันที
จากแนวโน้มดังกล่าว ทีมการตลาดและวิเคราะห์ลูกค้ายังไม่สามารถประเมินสถานการณ์ได้ชัดเจน เนื่องจากลูกค้ากลับมาตัดสินใจสร้างบ้านเร็วกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ แม้รัฐจะมีการปลดล็อกดาวน์ออกมา แต่ก็เป็นการปลดล็อกดาวน์ในเฟสแรกเท่านั้น ทั้งนี้ การตัดสินใจสร้างบ้านที่รวดเร็วของลูกค้าในช่วงนี้ อาจเกิดจากในช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ผู้บริโภคไม่ได้มีการใช้จ่ายไปกับการท่องเที่ยว หรือรายจ่ายเกี่ยวกับการเปิดเทอมใหม่ของลูกๆ ทำให้ใช้เวลาในช่วงล็อกดาวน์ พิจารณาเกี่ยวกับการสร้างบ้านมากขึ้น จึงสามารถตัดสินใจได้เร็วหลังจากสถานการณ์โควด-19 เริ่มมีทิศทางดีขึ้น
นอกจากนี้ ยังทีมการตลาดมีการประเมินว่า การที่มีลูกค้าเข้ามาเซ็นสัญญาสร้างบ้านกับ พีดีเฮ้าส์ มากขึ้นในช่วงนี้มีปัจจัยจากสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ทำให้ผู้บริโภคเลือกสร้างบ้านกับผู้ประกอบการที่มีแบรนด์น่าเชื่อถือมากกว่ารับเหมาก่อสร้างและบริษัทเกิดใหม่ สำหรับพื้นที่ที่มีลูกค้าตัดสินใจเร็วและจำนวนมากคือกลุ่มตลาดในพื้นที่ภาคกลาง และ กทม. รองลงมาคือกลุ่มตลาดในภาคอีสาน แต่โดยรวมแล้วถือว่าการกลับมาตัดสินใจสร้างบ้านของลูกค้าดีขึ้นในทุกพื้นที่
โดยในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมามีลูกค้าเซ็นสัญญาก่อสร้างบ้านกับ พีดีเฮ้าส์ แล้วไม่น้อยกว่า 10 หลัง คิดเป็นมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีลูกค้าที่อยู่ระหว่างการเจรจาอีก 3-4 หลัง ซึ่งทั้งหมดเป็นการสร้างบ้านหลังใหญ่คาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญาได้ทั้งหมดในช่วงสัปดาห์นี้
นายสิทธิพร กล่าวว่า อย่างไรก็ตามแม้ว่าในช่วงนี้ลูกค้ามีการตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น แต่ยังไม่วางใจในสถานการณ์ตลาด จึงยังคงต้องใช้เวลาในการติดตามสถานการณ์ตลาดในช่วงครึ่งหลังของปีอย่างต่อเนื่อง เพราะโดยมากแล้วลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อในช่วงนี้ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าที่เคยขอข้อมูลสร้างบ้านในช่วงต้นปีแต่ชะลอก่อสร้างออกไป นอกจากนี้ ยังต้องติดตามด้วยว่าบริษัทรับสร้างบ้านรายอื่นมีลูกค้าตัดสินใจซื้อเร็วและเพิ่มขึ้นในช่วงนี้หรือไม่
“หากบริษัทอื่นมียอดขายตก ในขณะที่ พีดีเฮ้าส์ มียอดขายเพิ่ม แสดงว่าเราไปแชร์ตลาดคู่แข่งมา ซึ่งถือว่าสถานการณ์ตลาดรวมยังแย่อยู่ และจะส่งผลต่อการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ภาวการณ์เกิดสงครามราคาก็จะยิ่งรุนแรงมากตามไปด้วย”
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 3 นี้ พีดี เฮ้าส์ จะเปิดตัวแบบบ้านใหม่ 4 แบบบ้าน ซึ่งเป็นแบบบ้านในกลุ่มตลาดระดับราคา 2 ล้านบาทต้นๆ หรือมีราคาขายต่อตารางเมตร (ตร.ม.) อยู่ที่ 13,000 -15,000 บาทต่อ ตร.ม.หรือทำแบบบ้านใหม่ที่มีราคาลดลง 15% จากเดิมที่มีราคาขาย 2.5 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีราคาขาย 15,000-1.8,000 บาทต่อ ตร.ม. โดยแบบบ้านดังกล่าวจะทำตลาดในช่วงสั้นๆ คือ 3เดือนเท่านั้น เนื่องจากเป็นแบบบ้านที่มีกำไรน้อยมาก โดยบริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขาย 3-4 หลังต่อสาขาในระยะ 3 เดือนจากนี้
“แบบบ้านใหม่ที่ออกมานี้ เป็นแบบบ้านราคาถูกและมีกำไรน้อยมาก ซึ่งพีดีเฮ้าส์ ไม่อยากลงมาทำตลาดนี้ แต่ในสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน จำเป็นต้องพัฒนาแบบบ้านทั้ง 4 แบบออกมาเพื่อสร้างความต่อเนื่องในด้านการขาย และเสริมสภาพคล่องให้เกิดการหมุนเวียนของรายได้ในองค์กร”