กสิกรไทยเปิดตัวโครงการ "เถ้าแก่ใจดี เจ้าหนี้มีใจ" จับมือเจ้าของกิจการช่วยเหลือพนักงานให้มีงานทำ ลดภาระหนี้ในภาวะวิกฤต นำร่องด้วย 2 เครือโรงแรมใหญ่ในภูเก็ต โรงแรมในเครือกะตะธานี และเครือกะตะกรุ๊ป พร้อมลุยต่อกับอีกผู้ประกอบการจังหวัดภูเก็ต 127 ราย ที่มีคุณสมบัติตามที่ธนาคารกำหนด ตั้งงบช่วยเหลือ 100 ล้านบาท ช่วยพนักงาน 3,000 คน เป็นระยะเวลา 6 เดือน และเตรียมขยายผลไปยังจังหวัดอื่นๆ โดยตั้งเป้าใช้งบทั้งโครงการราว 500 ล้านบาท ช่วยพนักงาน 15,000 คน
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกิตติคุณ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า ธนาคารได้ออกโครงการ "เถ้าแก่ใจดี เจ้าหนี้มีใจ" เพื่อร่วมกับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาด ในการช่วยเหลือพนักงานในระบบไม่ให้เกิดความเดือดร้อน โดยธนาคารจะตัดรายได้ดอกเบี้ยที่ได้รับในจำนวนเงินเท่ากับ 50% ของเงินเดือนพนักงานที่ต้องจ่าย ร่วมกับเจ้าของกิจการที่ต้องจ่ายเงินเดือนอีก 50% เพื่อให้ธุรกิจไม่ต้องปรับลดพนักงาน และเป็นการช่วยเหลือพนักงานระดับล่างให้สามารถอยู่รอดภายใต้วิกฤต
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการในช่วงนำร่องมี 2 ราย คือ โรงแรมในเครือกะตะธานี และเครือกะตะกรุ๊ป ซึ่งทั้ง 2 รายเป็นเครือโรงแรมขนาดใหญ่ในจังหวัดภูเก็ต และอยู่ในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากโรคโควิด-19 แต่ทั้ง 2 โรงแรมมีความรับผิดชอบในการดูแลพนักงานทุกคน โดยไม่มีการเลิกจ้าง หรือให้หยุดงานโดยไม่รับเงินเดือน ในจังหวัดภูเก็ตมีผู้ประกอบการ 127 ราย ที่สามารถเข้าร่วมโครงการ ซึ่งธนาคารใช้งบประมาณช่วยเหลือ 100 ล้านบาท ตั้งเป้าช่วยพนักงาน 3,000 คน เป็นระยะเวลา 6 เดือน
"สถานการณ์ขณะนี้คือ เกิดวิกฤตโรคระบาด นักท่องเที่ยวไม่มี กระทบธุรกิจรายได้ไม่เกิด เจ้าของธุรกิจก็ต้องลดค่าใช้จ่าย ลดพนักงาน ส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ แต่โครงการนี้อยากจะช่วยให้คนกลุ่มล่างสุดที่ต้องโดนผลกระทบโดยตรงถูกเลิกจ้างซึ่งก็เป็นกลุ่มที่รัฐบาลช่วยอยู่ โดยองค์ประกอบที่จะทำได้ก็คือ มีเถ้าแก่ใจดี มีคุณธรรม แล้วก็มีเจ้าหนี้ที่มีกำลังที่ทำได้ตัดกำไรไปส่วนหนึ่ง คือ ตัดส่วนของรายได้ดอกเบี้ยไปช่วย 50%.ของเงินเดือนพนักงาน แล้วเถ้าแก่ก็เก็บพนักงานไว้ได้ รักษาคนที่อยู่ระดับล่างสุดของระบบธุรกิจให้อยู่รอดไป อันนี้ไม่เกี่ยวกับการปล่อยกู้ ซึ่งอย่างกลุ่มกะตะธานีเป็นธุรกิจที่มีการสะสมทุนไว้ระดับหนึ่ง ธนาคารเองก็มีกำลังพอจะทำได้ ซึ่งธนาคารคาดหวังว่าความช่วยเหลือภายใต้โครงการนี้ จะสามารถช่วยเหลือพนักงานให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปให้ได้ และจะขยายผลโครงการไปยังจังหวัดอื่นๆ ต่อไป"
นายบัณฑูร กล่าวอีกว่า เรื่องผลกระทบจากวิกฤตต่อธนาคารนั้น ก็มีแน่นอนเพราะวิกฤตต่างๆ ท้ายที่สุดก็จะมาลงที่ระบบธนาคาร แต่ในช่วงที่ผ่านมา แบงก์เองก็ได้ตุนทุนไว้แข็งแกร่งระดับหนึ่งแล้ว เชื่อว่าสามารถรับแรงกระแทกได้ แต่ก็คงจะคาดหวังเรื่องกำไรมากไม่ได้ และธนาคารยังมีโครงการใหญ่ๆ ที่ต้องดำเนินการอีก เช่น การปล่อยกู้ให้แก่ผู้ประกอบการโดยรัฐบาลจะรับผิดชอบหากมีกรณีหนี้เสีย 70% และแบงก์รับ 30% เพราะในสภาวะนี้สัดส่วนที่จะเป็นหนี้เสียค่อนข้างสูงอยู่แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญคือ เงินที่ปล่อยออกไปนั้นต้องถึงมือกลุ่มคนระดับล่างจริงๆ ไม่ใช่ไปอยู่ในมือผู้ประกอบการเท่านั้น
"เราเห็นความโกลาหล ความวุ่นวายมาจากวิกฤตคราวครั้งก่อนๆ แล้วว่ามีความบกพร่องตรงไหน เพราะฉะนั้นครั้งนี้เงินที่ใส่ไปก็ไม่ควรจะไปเข้ามือคนที่ไม่ควรจะได้อีก อย่างกรณีของกะตะกรุ๊ปค่อนข้างมั่นใจเพราะมีบัญชีจ่ายเงินเดือนอยู่กับธนาคาร"
นายสมบัติ อติเศรษฐ์ ประธานกรรมการบริหาร โรงแรมในเครือกะตะธานี กล่าวว่า ขณะนี้ทางโรงแรมไม่ได้มีการปรับลดพนักงานแต่อย่างใด เนื่องจากได้เตรียมความพร้อมในการรับผลกระทบไว้ในระดับหนึ่ง ซึ่งการเข้ามาช่วยเหลือของธนาคารกสิกรไทย ทำให้ผู้บริหารและพนักงานมีความเชื่อมั่นขึ้นหากสถานการณ์มีความยืดเยื้อ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงเนื่องจากกลุ่มประเทศที่เป็นลูกค้าของโรงแรมยังมีปัญหาเรื่องโรคระบาดอยู่ และยังรักษาพนักงานไว้ได้
นายประมุขพิสิฐ อัจฉริยะฉาย ประธานกรรมการบริหาร โรงแรมในเครือกะตะกรุ๊ป เปิดเผยว่า พนักงานเป็นทรัพย์สินอันทรงคุณค่าของธุรกิจ ไม่เคยคิดเลิกจ้างพนักงาน ในสถานการณ์ปกติพนักงานช่วยทำงาน สร้างความมั่งคั่งให้ธุรกิจ ในยามเจอวิกฤตก็ต้องฝ่าฟันไปด้วยกัน เพราะเชื่อมั่นว่ายามที่พนักงานลำบาก แล้วเจ้าของไม่ทอดทิ้งคอยประคับประคองให้เขาอยู่ได้ เมื่อวันที่โรงแรมกลับมาเปิดอีกครั้ง พนักงานทุกคนจะกระตือรือร้น มุ่งมั่น และรักในองค์กรมากขึ้น จึงอยากแนะนำให้องค์กรต่างๆ รักษาพนักงาน ช่วยเหลือและอย่าทอดทิ้ง ขณะนี้มีเพียงธนาคารแห่งเดียว คือ ธนาคารกสิกรไทยที่เล็งเห็นความสำคัญของพนักงาน นี่คือคุณธรรมล้ำเลิศของผู้บริหารธนาคาร