บล.กรุงศรีมองผลประกอบการหุ้น CPF ปรับตัวขึ้น เหตุความต้องการบริโภคหมูในเวียดนามทรงตัวอยู่ในระดับที่สูง ขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ดันผลประกอบการไตรมาส 1/2563 ปรับตัวขึ้น
นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรีเผยมุมมมองบริษัทจดทะเบียนในบทวิเคราะห์การลงทุนของ บมจ.บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ว่า คาดกำไรปกติในไตรมาสที่ 1/63 จะอยู่ที่ประมาณ 5 พันล้านบาท (+52% yoy, +20% qoq) โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการจากราคาสุกรในเวียดนามใน ไตรมาสที่ 1/63 และการเริ่มบันทึกกำไรจากบริษัทย่อย Hylife
คาดกำไรปกติในไตรมาสที่ 1/63 จะเติบโตได้ดี 52% yoy และ 20% qoq
ทั้งนี้ บล.กรุงศรีมองว่ากำไรปกติในไตรมาสที่ 1/63 จะอยู่ที่ประมาณ 5.0 พันล้านบาท (+52% yoy, +20% qoq) โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคาเฉลี่ยสุกรในเวียดนามในไตรมาสที่ 1/63 ที่ VND76,100 ต่อกิโลกรัม ซึ่งสูงกว่าราคาเฉลี่ยใน 1Q19 อยู่ 64% รวมถึงการเริ่มบันทึกกำไรจาก Hylife (บริษัทย่อยใหม่) ราว 300 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาสุกรในเวียดนามใน 1Q20 จะช่วยชดเชยปริมาณขายที่ลดลง ทำให้รายได้ใน 1Q20F จะเพิ่มขึ้น 4% yoy และเพิ่มกำไรขั้นต้นเป็น 17.0% เทียบกับ 1Q19 ที่ 14.1%
ขณะที่กำไรในไตรมาสที่ 2/63 จะลดลงแบบจำกัด
"คาดว่ากำไรในไตรมาส 2 ของปีนี้จะลดลงจากปริมาณขาย รวมถึงราคาสุกรและไก่ก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงจากความต้องการที่ลดลงจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปราะบาง อย่างไรก็ตาม มองว่าความเสี่ยงนั้นจำกัดเนื่องจากเราคาดว่าราคาสุกรในเวียดนามจะทรงตัวอยู่ในระดับที่สูงราว 60,000-70,000 ด่องต่อกิโลกรัม และต้นทุนอาหารสัตว์ (ข้าวโพดและถั่วเหลือง) ที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจาก COVID-19"
ปรับลดงบลงทุนจาก 2.5 หมื่นล้านบาท เหลือ 1 หมื่นล้านบาท
บริษัทวางแผนที่จะลดงบลงทุนจาก 2.5 หมื่นล้านบาทเหลือ 1 หมื่นล้านบาท ในขณะที่หุ้นกู้ของ CPF มูลค่า 2.8 หมื่นล้านบาทจะครบกำหนดในปี 2020 โดยการลดลงของงบลงทุน 1.5 หมื่นล้านบาทจะช่วยลดภาระหนี้สินลง เราคาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) จะเป็นบวกเนื่องจากอาหารยังคงเป็นสินค้าจำเป็น ในขณะที่กระแสเงินสดจากกิจกรรมทางการเงิน (CFF) ยังคงอยู่ในระดับดีเนื่องจากฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง (อัตราหนี้สินต่อทุนสุทธิอยู่ที่ 1.33 เท่า และมีเงินสดในมือสูงถึง 3.2 หมื่นล้านบาท) ดังนั้นจึงมองความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของ CPF ค่อนข้างต่ำในปีนี้
คงคำแนะนำซื้อ BUY พร้อมราคาเป้าหมาย 32.75 ต่อหุ้น
ด้วยมุมมองต่อหุ้นกลุ่มอาหารที่แข็งแกร่ง (ผลกระทบจาก COVID-19 น้อยและการฟื้นตัวที่เร็ว) ประกอบกับการเติบโตของกำไรที่ยังเป็นบวก สำหรับแนวโน้มกำไร นไตรมาสที่ 2/63 คาดว่าจะอ่อนตัวลง yoy จากปริมาณการขาย รวมถึงราคาสุกรและไก่ภายในประเทศมีแนวโน้มลดลง แต่ราคาสุกรในเวียดนามและราคาอาหารสัตว์จะช่วยลดผลกระทบ ด้วยมุมมองของกลุ่มที่แข็งแกร่งและการเติบโตของกำไร โดยยังคงคำแนะนำซื้อ กำหนดราคาเป้าหมายที่ 32.75 บาทต่อหุ้น