เอพี ตั้งทีมวอร์รูมจับตาสถานการณ์โควิด-19 ใกล้ชิด คุมเข้มบริหารการเงิน เผยยังเดินหน้าตามแผนเดิม พร้อมปรับแผนหากสถานการณ์แย่ ล่าสุด ขนสต๊อกคอนโดฯ ย่านลาดพร้าว 422 ยูนิตออกขาย
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บริษัทยังคงแผนการดำเนินงานเดิมเอาไว้ ซึ่งขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินสถานการณ์ เพราะยังไม่ถึงจุดสูงสุดของสถานการณ์คาดว่าจะต้องรอหลังเมษายน อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ตั้งทีมวอร์รูมเพื่อจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมที่จะปรับแผนการดำเนินงานเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงการควบคุมการบริหารการเงินอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการเบิก-จ่าย
นอกจากนี้ เอพีมีความพร้อมในการส่งโอนคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่โครงการ ไลฟ์ ลาดพร้าว มูลค่าโครงการ 8,000 ล้านบาท จำนวน 1,615 ยูนิต ให้ลูกค้าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยโครงการ ไลฟ์ ลาดพร้าว นับเป็นหนึ่งในไฮไลต์โปรเจกต์ร่วมทุนระหว่างเอพีและพันธมิตรญี่ปุ่น มิตซูบิชิ เอสเตท เรสซิเดนซ์ (บริษัทในเครือมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป) ด้วยศักยภาพโครงการตั้งอยู่บนที่ดินที่ดีที่สุดในทำเลลาดพร้าว 1 ก้าวจากบีทีเอสห้าแยกลาดพร้าว ล่าสุด เอพีได้ให้ลูกค้า ไลฟ์ ลาดพร้าว เข้าตรวจห้องชุดในเฟสแรกตามแผนที่วางไว้ (14-15 มีนาคมที่ผ่านมา) ลูกค้ากว่า 95% รับมอบห้องทันทีหลังตรวจเช็กในวันดังกล่าว
ทั้งนี้ เอพี มีคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าในทำเลลาดพร้าว ภายใต้แบรนด์ LIFE (ไลฟ์) เปิดตัวในย่านนี้ จำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 14,400 ล้านบาท ปัจจุบันเหลือขาย 422 ยูนิต ได้แก่ ไลฟ์ ล้าดพร้าว ปัจจุบันเหลือขาย 80 ยูนิต และโครงการไลฟ์ ลาดพร้าว วัลเลย์ จำนวน 1,140 ยูนิต ปัจจุบันเหลือขาย 342 ยูนิต และเตรียมความพร้อมในการเปิดตัวโครงการใหม่ในย่านนี้อีก 1 โครงการ ได้แก่ ไลฟ์ ลาดพร้าว-จตุจักร จำนวน 401 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท
โดยเอพี ได้ออกแบบทำให้เอพีมีประสบการณ์และความเข้าใจถึงแต่ละอินไซต์และรูปแบบการใช้ชีวิต ที่มีความเจาะจงของลูกค้าในแต่ละแปลงที่ดิน โดย LIFE ลาดพร้าว นับเป็นผลลัพธ์แรกจากการออกแบบอย่างเข้าใจของเอพี ในการส่งมอบคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ที่จะมาตอบโจทย์อินไซต์จริงของลูกค้ากลุ่ม ‘อะแดปทีฟ เจเนอเรชัน’ (Adaptive Generation) คนเมืองรุ่นใหม่วัยทำงานที่มีเป้าหมายในการใช้ชีวิต (Life Purpose) ที่จัดเต็มทั้งการทำงานและชีวิตส่วนตัว โดย LIFE ลาดพร้าว พร้อมเอ็มพาวเวอร์การใช้ชีวิต เติมเต็มความปรารถนาของลูกค้าให้เกิดขึ้นจริงในวันนี้ ผ่าน 3 จุดเด่นหลัก ดังนี้
1.การส่งมอบสเปซและประสบการณ์การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ (Creative Solutions) ที่มีคุณค่าและยกระดับชีวิตของลูกค้าในวันนี้ให้ดียิ่งขึ้น ผ่านพื้นที่ส่วนกลางที่ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย รองรับการใช้งานที่ปรับเปลี่ยนได้หลากหลาย พร้อมทั้งการเชื่อมต่อโลกดิจิทัลได้อย่างไม่สะดุดด้วยโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง รองรับทั้งการพักผ่อนอย่างเป็นส่วนตัวและเทรนด์การทำงานที่บ้าน (Work from Home) เช่น Iconic Lobby ที่มีการติดตั้ง Sound Dome และ USB Charger System พร้อมให้ลูกบ้านใช้งานได้ทั้งการนั่งฟังเพลงหรือนัดประชุม Conference Call หรือ Intelligent Co-Thinking Space สเปซรองรับการประชุมอย่างเป็นทางการ พร้อมระบบ Digital Touch Panel เต็มรูปแบบที่สามารถควบคุมการเชื่อมต่อระบบจอทีวี ระบบไฟ ระดับเสียง ม่านและอุณหภูมิภายในห้องได้อย่างสะดวกสบายด้วยปลายนิ้วสัมผัส หรือ Sky Social Club การทำงานในออฟฟิศชิดขอบฟ้าบนชั้น Rooftop เพิ่มสีสันและความครีเอทีฟให้การทำงานไม่ซ้ำซากจำเจ และครั้งแรกกับการเปิดตัว Panoramic Health Club แบบ 24 ชั่วโมง ที่จะเข้ามาเติมเต็มไลฟ์สไตล์การออกกำลังกายพร้อมวิวเมืองลาดพร้าวที่สวยที่สุดของลูกบ้านใน LIFE ลาดพร้าวได้อย่างไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลาอีกต่อไป
2.ยกระดับการทำงานร่วมกับ SMART Property Management เพื่อประสิทธิภาพในการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ผ่านการใช้ ‘SMART WORLD PLATFORM’ ที่นอกจากจะเชื่อมต่อความสะดวกสบายทั้งพื้นที่ส่วนกลางและพื้นที่ในยูนิตพักอาศัย ยังมีระบบรักษาความปลอดภัย ที่เปรียบเสมือนคีย์การ์ดของคอนโดมิเนียม สำหรับใช้ในการเข้าออก ตั้งแต่ทางเข้าหลัก เรสซิเดนท์โซน ลิฟต์และประตูห้องพัก รวมถึงควบคุมระบบบ้านอัจฉริยะภายในยูนิตพักอาศัย เช่น ระบบไฟและเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ส่งเสริมให้การใช้ชีวิตในคอนโดมิเนียม LIFE ลาดพร้าว สะดวกสบายและปลอดภัยกว่าเดิม พร้อมทั้งบริการพิเศษต่างๆ ผ่านพันธมิตรของเอพี
3.แนวคิดการพัฒนาที่อยู่อาศัยควบคู่พื้นที่สีเขียวสำหรับอนาคต (Green Design Approach) ด้วยการบริหารมาสเตอร์แพลนโครงการที่ผสานพื้นที่ธรรมชาติ สายน้ำและต้นไม้ใหญ่นานาพันธุ์อย่างลงตัว เช่น The Evergreen Path ทางเดินเข้าสู่โครงการใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่และพันธุ์ไม้หลากหลายสายพันธุ์ พร้อมทั้งมุมสวนแบบเอาต์ดอร์ที่มีสเปซฟังก์ชันรองรับทั้งการพักผ่อนและการทำงานในร่มเงาของธรรมชาติ เป็นต้น
ด้าน นายขยล ตันติชาติวัฒน์ ผู้อำนวยการ บริษัท บางกอกซิตี้สมาร์ท จำกัด (บีซี) กล่าวว่า ทำเลลาดพร้าวปี 2563 ถือเป็นทำเลแห่งอนาคต โดยเฉพาะ 5 ปัจจัยหลักสำคัญ ที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดทั้งผู้ประกอบการให้เข้ามาลงทุน รวมถึงกระตุ้นความคึกคักตลาดคอนโดมิเนียม ทั้งลูกค้าเรียลดีมานด์ รวมถึงความสามารถในการต่อยอดของกลุ่มนักลงทุน ได้แก่ 1.เป็นศูนย์กลางของการเดินทางและระบบขนส่งมวลชน นอกจากการเป็นจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าสายสีเขียวและรถไฟใต้ดินสายสีน้ำเงินแล้ว ที่ปัจจุบันยังเป็นที่ตั้งของสถานีกลางบางซื่อ ศูนย์กลางสายรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนที่กำลังจะสร้างเสร็จในปี 2564 ซึ่งถือเป็นเสมือนตัวผลักดันให้พื้นที่โดยรอบเกิดการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง
2.เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งใหม่ที่มีความพร้อมของพื้นที่อาคารสำนักงานเกรดเอและบีครอบคลุมกว่า 3 แสนตารางเมตร และเมื่อสถานีกลางบางซื่อสร้างเสร็จจะส่งผลให้เกิดพื้นที่อาคารสำนักงานแห่งใหม่อีกกว่า 1 แสนตารางเมตร ซึ่งคาดการณ์ว่าจะส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของพนักงานออฟฟิศทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติรวมกว่า 40,000 คน ทำให้มีผู้สนใจลงทุนในย่านนี้จำนวนมาก
3.ศูนย์กลางของสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย โดยเฉพาะศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าวที่มีผู้ใช้บริการมากกว่า 150,000 คน/วัน 4.พื้นที่สีเขียวที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ถึง 3 แห่งเป็นปอดของกรุงเทพฯ โดยเมื่อนับพื้นที่รวมกันถึง 700 ไร่ หรือ 1.12 ล้านตารางเมตร และที่สำคัญทำเลลาดพร้าวยังถูกยกให้เป็นทำเลแห่งโอกาส และ 5.ตลาดคอนโดมิเนียมในแพกเกจราคาที่คุ้มค่า จับต้องและต่อยอดได้ทั้งลูกค้าเรียลดีมานด์และกลุ่มนักลงทุน
หากพิจารณาข้อมูลจากบิ๊กดาต้าของบีซีย้อนหลัง 5 ปี พบการเปิดตัวของสินค้าคอนโดฯ ติดถนนหลักเส้นพหลโยธิน ตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินพหลโยธิน-สถานีรถไฟฟ้ารัชโยธิน ทั้งสิ้น 11 โครงการ จำนวน 8,263 ยูนิต ในราคาขายเฉลี่ย 145,000 บาท/ตร.ม. มียอดขายรวมแล้วกว่า 74% หากพิจารณาในแต่ละสถานี พบว่า สถานีที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ สถานีบีทีเอสห้าแยกลาดพร้าวที่มีอัตราการตอบรับที่ดีที่สุด ด้วยยอดขายรวมกว่า 82% มียูนิตคงเหลือขายประมาณ 490 ยูนิตเท่านั้น เหตุเพราะเป็นโลเกชันที่ดีที่สุดเปรียบเสมือนศูนย์กลางของย่าน ขณะที่คอนโดมิเนียมในกลุ่มสินค้ารีเซลก็พบการปรับตัวของราคาขึ้นมาปีละประมาณ 8% เช่นกัน
นอกจากนี้ ผู้ซื้อที่ต้องการลงทุนในการปล่อยเช่าและขายต่อให้ความสนใจในตลาดโซนนี้ไม่แพ้กัน เพราะผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าระยะยาว (Rental Yield) ของคอนโดฯ ในย่านนี้ พบอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 4-5% ซึ่งนับว่าราคาคอนโดมิเนียมในทำเลนี้ยังเหมาะสมในการซื้อทั้งเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อการลงทุนระยะยาว