บล.โกลเบล็ก ระบุหุ้นไทยส่อลงต่อ หลังประกาศ Bangkok Lockdown - Work At Home ส่งผลประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาอาจทำให้เชื้อไวรัสโควิด-19 ระบาดหนักขึ้น ฟากนักลงทุนลดความเสี่ยงหันมาถือเงินสด โดยให้กรอบดัชนี 970-1,100 จุด แต่ยังคงแนะสะสมหุ้นได้อานิสงส์ Bangkok Lockdown- Work At Home เพราะราคาร่วงลงมาเยอะแล้ว ส่วนราคาทองคำเจอแรงกดดันต่อเนื่อง แนะกลยุทธ์ “ลงซื้อขึ้นขาย” ให้กรอบการเคลื่อนไหวราคาทองคำ 1,560-1,607 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลงต่อ หลังกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประกาศ Lockdown ส่งผลให้ประชาชนที่ไม่มีงานทำเดินทางกลับภูมิลำเนา ซึ่งอาจให้เกิดการแพร่เชื้อในต่างจังหวัด ขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อ Covid-19 ยังเพิ่มขึ้น ประกอบกับการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และเสียชีวิตในโซนยุโรปและสหรัฐอเมริกาเร่งตัวขึ้นเช่นกัน และยังมีรายงานผู้ติดเชื้อรายแรกในประเทศต่างๆ ต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม มาตรการเยียวยาผลกระทบโควิด-19 ของสหรัฐฯ ที่อาจจะออกมาล่าช้าส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มได้รับผลกระทบรุนแรงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยนักเศรษฐศาสตร์จากมอร์แกน สแตนลีย์ คาดว่า DP ของสหรัฐฯ ในช่วง Q2/63 อาจร่วงลงได้ถึง 30.1% ขณะที่ประธานเฟดเซนต์หลุยส์เตือนว่าอัตราว่างงานสหรัฐฯ อาจพุ่งแตะ 30% ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่แกว่งตัวผันผวนยังคงกดดันหุ้นกลุ่มพลังงานไปด้วย จึงให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนี 970-1,100 จุด
นอกจากนี้ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดสำหรับความเคลื่อนไหวต่างๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ 24 มี.ค.นี้จะมีการประชุม ครม.คาดจะพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 ของไทย และญี่ปุ่นจะมีการเปิดเผยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือน ม.ค.และอียู เปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นเดือน มี.ค. ส่วนสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นเดือน มี.ค. และยอดขายบ้านใหม่เดือน ก.พ. ส่วนวันที่ 25 มี.ค. ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะเปิดเผยรายงานการประชุม
ส่วนสหรัฐฯ จะเปิดเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือน ก.พ. ดัชนีราคาบ้านเดือน ม.ค. และสต๊อกน้ำมันรายสัปดาห์ และในวันที่ 26 มี.ค. ทางธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย และสหรัฐฯ เปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ GDP ใน Q4/2562 และกำไรภาคเอกชน Q4/2562
“ตอนนี้ต้องยอมรับว่านักลงทุนแถบไม่ได้มองปัจจัยต่างๆ ที่เห็นว่าเป็นเรื่องบวกเลย อาทิ ค่าเงินบาทที่อ่อนลงมาจะส่งผลดีต่อการส่งออกที่พลิกขยายตัว 1.51% ในเดือน ก.พ. 2563 เมื่อหักการส่งออกทองคำ น้ำมัน และอาวุธออกแล้วก็ตาม และล่าสุด กนง.งัดไม้ตายลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มีผล 23 มี.ค.ที่ผ่านมาเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโดยรวมจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาตรการเสริมสภาพคล่องตลาดตราสารหนี้ และจัดตั้งกองทุนเสริมสภาพคล่องการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ (BSF) สร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในตลาดตราสารหนี้และกระทรวงการคลังจะเตรียมเสนอมาตรการระยะ 2 ดูแลประชาชนที่ได้รับกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ในวันนี้ ไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนได้ต่างปรับลดสถานะ เพื่อถือเงินสดไว้เป็นหลัก”
ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุน นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก แนะนำว่า ทยอยสะสมหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Bangkok Lockdown เช่น MAKRO, BJC, CPALL, TU, TFMAMA และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการส่งเสริมการทำงานที่บ้าน เช่น ADVANC, INTUCH, DTAC, TRUE, JAS, JASIF, DIF, COM7, SIS และ SYNEX
ส่วนราคาทองคำ นายณัฐวุฒิคาดว่า ราคาทองคำในสัปดาห์นี้ถูกกดดันจากแรงขายในทุกสินทรัพย์เนื่องจากนักลงทุนต้องการถือเงินสดในช่วงเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ แม้ว่าเฟดจะมีการประกาศ QE ออกมาอย่างต่อเนื่องและปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจนเหลือ 0%
นอกจากนี้ เฟดได้ประกาศทำข้อตกลงสวอปกับธนาคารกลางประเทศต่างๆ ทั่วโลกเพื่อเพิ่มสภาพคล่องดอลลาร์นอกจากนี้กองทุน SPDR เริ่มทยอยขายต่อเนื่องกว่า 23 ตันในสัปดาห์ก่อนเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำจึงแนะนำกลยุทธ์ “ลงซื้อขึ้นขาย” ให้กรอบการเคลื่อนไหวราคาทองคำ 1,560-1,607 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์