SCN เดินหน้ารับรู้กำไรมินบูต่อเนื่อง โซลาร์รูฟลูกค้าจ่อคิวเซ็นสัญญา พร้อม Dividend Yield สูงเกือบ 6%
นายฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN ได้ให้ข้อมูลแก่นักลงทุนสำหรับผลประกอบการไตรมาส 4/2562 และแผนการดำเนินงานปี 2563 ภายในงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน (Opportunity Day) ที่จัดขึ้น ณ ห้องประชุม 603 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก
นายฤทธีกล่าวว่า “สแกน อินเตอร์ยังคงเดินเกมตามกลยุทธ์แบบ 3+1 ในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ, ธุรกิจพลังงานทดแทน, ธุรกิจยานยนต์ และธุรกิจขนส่ง มั่นใจผลประกอบการปี 63 เติบโตทุกช่องทาง อ้างอิงจากงบการเงินในไตรมาส 4/2562 ที่ EBITDA สูงขึ้นถึง 42.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้าซึ่งจะส่งผลให้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทมีความแข็งแกร่งขึ้น ทั้งนี้ EBITDA ที่สูงขึ้นนั้นมาจากการจำหน่ายกิจการตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ (Auto Dealer) ยี่ห้อ Mitsubishi และการรับรู้กำไรจากโครงการมินบูตั้งแต่เดือนกันยายน 2562 ที่ผ่านมา อีกทั้งโครงการดังกล่าวยังได้รับชำระเงินจากรัฐบาลพม่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งมั่นใจได้ว่างานที่บริษัทได้ดำเนินการมาหลายปีนั้นเริ่มทยอยประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ โครงการมินบูอยู่ในระหว่างการเตรียมการ เริ่มก่อสร้างเฟส 2 ซึ่งคาดว่าต้นทุนรวมของโครงการจะปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เป็นผลมาจากราคาแผงโซลาร์ในตลาดที่ปรับตัวลดลงและค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น โดยคาดว่ามูลค่าการลงทุนรวมจะลดลงที่ประมาณ 15% ซึ่งนักลงทุนจะเห็นการรับรู้กำไรจากโครงการมินบูได้เต็มปีในปีนี้ ทั้งนี้ โครงการมินบูยังเนื้อหอมไม่หยุด มีนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกและใหญ่ที่สุดในพม่า อนาคตสดใสอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ สแกน อินเตอร์ยังไม่หยุดที่จะพัฒนาธุรกิจด้านพลังงานทดแทน ลุยงานติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปที่ร่วมมือกับพันธมิตรที่มีประสบการณ์และความชำนาญสูงเพื่อบุกเบิกตลาดซื้อขายไฟฟ้าภาคเอกชน (Private PPA) ทั้งนี้ มีลูกค้าเข้าลงนามแล้วจำนวน 10 เมกะวัตต์ (MW) พร้อมตั้งเป้าติดตั้งโซลาร์รูฟเพิ่มอีก 20 MW ภายในสิ้นปีนี้ โดยตั้งเป้าการติดตั้งรวมที่ 110 MW ภายใน 4 ปี ซึ่งมีมูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท
ด้านธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่รายได้ปรับตัวลดลงเล็กน้อยเนื่องจากการใช้ก๊าซ NGV ในสถานีที่น้อยลง แต่เรายังมีสัญญาซ่อมบำรุงสถานีที่ยังคงทำอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทได้เซ็นสัญญาซื้อขายกับ ปตท.เพื่อเป็นตัวแทนจัดจำหน่าย LNG ให้กับโรงงานอุตสาหกรรมนอกแนวท่อก๊าซธรรมชาติ หวัง LNG จะเข้าชดเชยการใช้ NGV ที่หายไป และยังมองว่าก๊าซ LNG เป็นการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน
ในส่วนของธุรกิจยานยนต์ มีแผนที่จะนำเข้ารถโค้ช (Coach) และรถมินิบัส (Minibus) เตรียมขานรับนโยบายภาครัฐในการปรับเปลี่ยนรถตู้โดยสารมาเป็นรถมินิบัสเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยมองว่ายังมีโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แต่ในช่วงนี้ยังประสบปัญหาเรื่องไวรัสโควิด 2019 ที่ระบาดหนัก ส่งผลกระทบให้โครงการต้องเลื่อนออกไปถึงช่วงกลางปี
นอกจากแผนธุรกิจที่กล่าวมาในข้างต้นแล้ว บริษัทยังมีมติการจ่ายเงินปันผลที่ระดับ 0.10 บาทต่อหุ้น ซึ่งคิดเป็น Dividend Yield ที่สูงถึงเกือบ 6% นับเป็น Dividend Yield ที่สูงที่สุดเป็นประวัติกาลของบริษัทนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มา
นายฤทธีกล่าวทิ้งท้าย “ผลตอบแทนจากการดำเนินงานที่ปรากฏเปรียบเสมือนผลผลิตที่เราเก็บเกี่ยวได้จากการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งเงินลงทุนไปในก่อนหน้านี้ ซึ่งตอนนี้ดอกผลที่สวยงามเป็นเครื่องยืนยันว่าเราเลือกปลูกพืชผลลงถูกที่เรามั่นใจว่า SCN จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในทุกๆ ด้าน และด้วยความทุ่มเทของทีมงานเอง ควบคู่ไปกับการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานโดยคาดว่าผลประกอบการของปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งเป็นผลมาจากการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ, การรับรู้กำไรจากโครงการมินบูและโซลาร์รูฟ”