หากย้อนหลังไปช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2558-2562) ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์มีการปรับฐานของตลาดกลุ่มลูกค้า ด้วยปัจจัยของราคาที่ดินในเมืองที่สูงขึ้น ทำให้การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม ที่ราคาห้องชุดมีราคาแพงเกินความสามารถในกลุ่มลูกค้าคนไทย และด้วยปัจจัยของโครงข่ายรถไฟฟ้าในระยะแรกที่ยังไม่ขยายส่วนต่อขยายออกมาเหมือนปัจจุบัน ทำให้การพัฒนาโครงการคอนโดฯ จะกระจุกตัวอยู่ในเมือง และด้วยการจับมือเป็นพันธมิตรของกลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์ข้ามชาติ เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ทำให้มีโอกาสในการลงทุนซื้อที่ดินในทำเลศักยภาพสูง
ทั้งนี้ ตามข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (ศขอ.) ระบุว่า ระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลมีตัวเลขการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยรวม 751,858 หน่วย เกือบ 50% เป็นตลาดคอนโดมิเนียม มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์นับว่าสูงมาก และเป็นภาคเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนจีดีพีภายในประเทศ โดย 5 ปีมีตัวเลขในระดับ 2,494,375 ล้านบาท สัดส่วนของตลาดคอนโดฯ เฉลี่ยอยู่ไม่ต่ำกว่า 45%
อย่างไรก็ตาม การถดถอยของตลาดกลุ่มกำลังซื้อในโควตาต่างชาติ โดยเฉพาะลูกค้าจากจีน ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง และมีความต้องการอย่างมากในการเข้ามาซื้อและลงทุนในโครงการคอนโดมิเนียมในไทย เนื่องจากมีการเปิดกว้างให้ต่างชาติซื้อห้องชุดได้ตามสัดส่วน 49% ของพื้นที่ขาย ตลาดยังให้ผลตอบแทนที่ดี ราคาอสังหาริมทรัพย์เฉลี่ยต่อปีปรับขึ้นประมาณ 5-10% ประกอบกับเงินบาทยังอยู่ในอัตราที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินหยวน
...แต่ผลจากเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัว การเข้มงวดในการนำเงินออกนอกประเทศ เกิดปัญหาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน (เทรดวอร์) และมาตรการเรื่อง LTV ทำให้ลูกค้าจีนได้รับผลกระทบอย่างหนัก ซ้ำร้ายต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ได้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ในประเทศจีน และเริ่มกระจายไปสู่ประเทศอื่นๆ ส่งผลให้จีนต้องปิดเมือง เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นอีก
ลูกค้าหายวูบไป 70%
นายไซม่อน ลี ประธานกรรมการบริษัท แองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านการตลาดและขายชั้นนำของประเทศไทย โดยเฉพาะโควตาต่างประเทศ โบรกเกอร์รายใหญ่ที่ทำตลาดในภูมิภาคเอเชีย ได้ฉายภาพตลาดกลุ่มลูกค้าชาวจีนว่า ชะลอตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2562 โดยคาดว่าช่วงครึ่งแรกของปี 63 ตลาดจะทรงๆ ตัวและตกลงเหมือนช่วงเดียวกันของปี 62 ที่ลดลงไป 50-70% แต่ยิ่งเกิดเชื้อไวรัสขณะนี้ อาจจะทำให้ครึ่งปีแรกแย่กว่าลงไปอีก เพราะไม่มีใครกล้าเดินทาง ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทแองเจิลฯ ช่วงครึ่งแรกน่าจะลดลงไปประมาณ 20-30% จากที่ขายได้ 700-800 ยูนิต ลงมาเหลือ 500-600 ยูนิต
"เราประเมินว่า กำลังซื้อจากลูกค้าชาวจีนหายไป 70% มูลค่าวูบไป 40,000-50,000 ล้านบาท คงเหลือในระบบไม่ถึง 30% มูลค่าเพียง 10,000 ล้านบาท ทำให้ห้องชุดที่เหลืออยู่จะต้องมาทำตลาดอีกรอบ การจะปล่อยเช่าก็คงลำบาก"
อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มของแองเจิลฯ ยอดขายใหม่และที่รอการโอนกรรมสิทธิ์ สำหรับกลุ่มผู้ซื้อที่ครบกำหนดโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้มีประมาณ 3,000 หน่วย มูลค่าการขายประมาณ 20,000 ล้านบาท แต่คาดว่าจะมีการตัดสินใจโอนประมาณ 70% หรือประมาณ 2,000 ยูนิต มูลค่าประมาณ14,000-15,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ลูกค้าชาวจีนถือเป็นกลุ่มลูกค้าหลักในโครงสร้างธุรกิจของแองเจิลฯ โดยมีสัดส่วนประมาณ 50% มาจากจีน รองลงมาสัดส่วน 40% จากประเทศเอเชีย และอีกสัดส่วน 10% จากทวีปยุโรป
เจรจาบิ๊กอสังหาฯ ยืดค่างวดแทนยึดห้องชุด
"ตนมีความเห็นว่า จริงๆ แล้วลูกค้าจีนไม่คิดจะทิ้งเงินดาวน์ หรือไม่รับโอนห้องชุด เนื่องจากที่ผ่านมา มีการเก็บเงินดาวน์สูงถึง 30% ไปแล้ว เพียงแต่ด้วยสถานการณ์ภายในประเทศจีน เศรษฐกิจชะลอตัวลง ปัญหาเทรดวอร์ เกิดเชื้อไวรัส และการปิดเมืองของรัฐบาลทำให้ลูกค้าเกิดความยากลำบาก แต่หา กดีเวลลอปเปอร์ของไทยยืดหยุ่นเวลาการโอนออกไปเช่น 3-6-9 และ 12 เดือน เพื่อให้ลูกค้าจีนทยอยโอนเงินออกมาจนครบ ก็จะไม่เป็นภาระกับผู้ประกอบการที่ต้องบริหารสินค้า (สต๊อก) คอนโดฯ เพิ่มขึ้นอีก จากการที่บังคับและยึดห้องชุดจากลูกค้า ซึ่งตอนนี้ลูกค้าจีนต้องการขอเวลา แบงก์จีนเข้มงวดมาก แต่สุดท้ายแล้วคนจีนอยากมีบ้านในไทย และจากการที่บริษัทฯ ได้เข้าพูดคุยกับผู้ประกอบการ มีประมาณครึ่งหนึ่งยอมยืดการโอนห้องชุด ส่วนใหญ่เป็นบริษัทอสังหาฯ ที่มีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง แต่อสังหาฯ บางแห่งต้องยึดเงินดาวน์เลย เพื่อนำห้องชุดมาขายต่อ เพราะมีปัญหาเรื่อง Cash flow อย่างไรก็ตาม หากมีเงื่อนไขจูงใจกับลูกค้าก็ดี เช่น โอนค่างวดหรือรับห้องชุดตามกำหนด ก็จะฟรีค่าใช้จ่ายส่วนกลาง แต่ถ้ายืดก็ไม่สิทธิในส่วนนี้ เป็นต้น" นายไซม่อน กล่าว
ดึงจัดสรรทำลีสโฮลด์เจาะกลุ่มต่างชาติ
นายไซม่อน กล่าวว่า ในด้านการดำเนินธุรกิจนั้น ทางแองเจิลฯ ได้ปรับกลยุทธ์รองรับสถานการณ์วิกฤต จากพึ่งพาจีนเป็นหลัก หันไปขยายตลาดเพิ่มฐานลูกค้าไปยังประเทศอื่นๆ เช่น กลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา พม่า รวมถึงฮ่องกง และไต้หวัน ทดแทนตลาดจีน ขณะเดียวกัน ยังขยายพอร์ตอสังหาฯ ในประเทศอื่นๆ เข้ามาเพิ่มรายได้ เช่น ญี่ปุ่น โดยเข้าไปซื้อบ้านและคอนโดฯ มือสองมารีโนเวต และพัฒนาเป็นตลาดเช่า รวมถึงขาย และในประเทศตุรกี ขายอสังหาริมทรัพย์ พร้อมรับหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ฟรี ให้แก่นักลงทุนในบรูไน พม่า ฮ่องกง และจีน ที่ต้องการรับสิทธิพลเมืองในตุรกี ที่สามารถเดินทางเข้าไปยุโรป หรือในอังกฤษได้
นอกจากนี้ ได้เจรจากับ 3 บริษัทอสังหาฯ ขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ ในการทำตลาดเช่าซื้อระยะยาว (ลีสโฮลด์) 30 ปี ในบ้านชานเมือง เช่น กรุงเทพกรีฑา บางนา ศาลายา พัทยา เชียงใหม่ และภูเก็ต เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่มองไทยเป็นเสมือนแหล่งพำนักเมื่อเกิดวิกฤต (บ้านหลังที่สอง) แทนตลาดนักลงทุนในอดีตที่รองรับนักท่องเที่ยว เนื่องจากชาวจีนเกิดความประทับใจการต้อนรับของไทย และไม่ปิดกั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤต
นอกจากนี้ ยังเข้าไปช่วยปิดการเจรจาดีลซื้อขายโรงแรมให้แก่นักลงทุนฮ่องกง โดยมีขนาด 2 แห่ง ย่านรัชดาฯ ขนาด 150 ห้อง และย่านสุขุมวิท ขนาด 150 ห้อง มูลค่ารวม 300-500 ล้านบาท คาดว่าจะปิดดีลได้ภายในไตรมาส 1 ปีนี้
โดยทางแองเจิลฯ ได้วางเป้าหมายในปี 2563 คาดว่าจะมียอดขายคอนโดฯ ในประเทศไทยประมาณ 900-1,200 ยูนิต มูลค่ายอดขายราว 4,000-5,000 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 25% โดยราคาที่คนจีนสนใจอยู่ที่เฉลี่ย 2-5 ล้านบาทต่อยูนิต ประกอบด้วย โครงการสุขุมวิท พระราม 9 และจรัญสนิทวงศ์ 70 คาดว่าเมื่อรวมกันกับยอดขายต่างประเทศจะส่งผลทำให้มีสิ้นปีมียอดขายราว 8,000-9,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ถือเป็นการปรับกลยุทธ์เพื่อกระจายความเสี่ยงขยายไปต่างประเทศ หลังจากได้รับผลกระทบจากเทรดวอร์ และค่าเงินบาทแข็งค่า ตั้งแต่ปี 2562 ที่มียอดขายในพอร์ตลดลงเหลือ 1,500-1,600 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าราว 7,000-8,000 ล้านบาท จากปี 2561 ที่มียอดขาย 3,200 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท
ศขอ.คาดจีนชะลอโอนห้องชุดกระทบไม่มาก
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (ศขอ.) เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 ว่า ศขอ. ได้ประมาณการตัวเลขที่สำคัญ ดังนี้ จากปัจจัยบวกอัตราดอกเบี้ยต่ำและเป็นขาลง มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ของรัฐบาล การผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ของ ธปท. และปัจจัยลบภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัวในหลายกิจกรรมเศรษฐกิจที่สำคัญ การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา เทรดวอร์ ส่งผลให้คาดการณ์ว่าจะมีการปรับตัวในภาคธุรกิจที่อยู่อาศัย การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทุกประเภททั่วประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 372,500-400,660 หน่วย ขยายตัวระหว่าง -0.2% ถึง 7.3% และมีมูลค่าถึง 853,100-917,100 ล้านบาท ขยายตัวระหว่าง -2.5% ถึง 4.8%
โดยจะมีการโอนกรรมสิทธิ์จะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ประมาณ 197,500-214,300 หน่วย ขยายตัวระหว่าง -0.2% ถึง 8.3% และมีมูลค่าถึง 571,200-614,000 ล้านบาท ขยายตัวระหว่าง -0.2% ถึง 7.3% ซึ่งจะมีสัดส่วนหน่วย 53% และ มูลค่า 67% ของการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ
ทั้งนี้ การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั่วประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 117,400-126,780 หน่วย เป็นมูลค่าถึงประมาณ 284,360-305,700 ล้านบาท โดยกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะมีสัดส่วนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ 73.6% และมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ 78.1%
ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 คาดว่าจะมีการชะลอการโอนของคนจีนบ้าง เนื่องจากสาเหตุการระบาดไวรัสโคโรนา แต่มีผลกระทบไม่มากเนื่องจากผู้ซื้อห้องชุดคนจีนมีสัดส่วนเพียง 6% ของผู้ซื้อทั้งหมดเท่านั้น
"อนันดาฯ" ยันลูกค้าจีนยังไม่ทิ้งดาวน์
ในส่วนของบริษัทอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN อีกหนึ่งบริษัทที่เป็นผู้นำในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้ามาตลอด และที่สำคัญช่วง 4 ปีที่ผ่านมา กลุ่มลูกค้าต่างชาติ (โควตาต่างชาติ) มีสัดส่วนในการเข้ามาซื้อโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทอนันดาฯ เนื่องจากด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้ง ระดับราคา ขณะที่โครงข่ายรถไฟฟ้าในระยะนั้นไม่ได้มีการลงทุนเพิ่มส่วนต่อขยายมากขึ้นเหมือนปัจจุบัน
ดร.ชัยยุทธ ชุณหะชา ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีพอร์ตที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและดำเนินการขายในมือมูลค่า 124,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับความต้องการลูกค้าในตลาดได้อีกหลายปี และมียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็กล็อก) ในมือ 31,100 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2565 แบ่งเป็นการรับรู้รายได้ในปี 2563 มูลค่า 12,379 ล้านบาท คิดเป็น 65% ของแบ็กล็อก ในปี 2564 บันทึกรายได้เพิ่ม 11,098 ล้านบาท และในปี 65 ประมาณ 7,652 ล้านบาท ขณะเดียวกัน ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดรับรู้รายได้อยู่ที่ 22,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ประมาณ 20%
ทั้งนี้ แม้ว่าการแข็งค่าของเงินบาท และสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา (เทรดวอร์) จะส่งผลกระทบต่อการรับโอนห้องชุดของกลุ่มลูกค้าต่างชาติ แต่จากสถิติการรับโอนห้องชุดของกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ซึ่งมีสัดส่วนถึง 22% จากยอดโอน 20,000 ล้านบาทในปี 2562 สะท้อนให้เห็นว่า ลูกค้าต่างชาติยังมีการรับโอนห้องชุดที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจ ในปีนี้ลูกค้าต่างชาติยังมีการรับโอนห้องชุดอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ในด้านยอดขายในปีนี้ อนันดาฯ ตั้งเป้าว่าจะมียอดขายทั้งปี 20,000 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมาซึ่งมียอดขายรวม 26,654 ล้านบาท แต่เป็นการการปรับลดลงให้สอดคล้องต่อสถานการณ์ตลาด ณ ปัจจุบัน
"แม้ว่าปีนี้จะมีปัญหาจากไวรัสโคโรนาเข้ามากระทบ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเดินทางเข้ามารับโอนห้องชุดของลูกค้าจีน อย่างไรก็ตาม ผลกระทบดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่นาน หากปัญหาดังกล่าวคลี่คลายลง เชื่อว่ากลุ่มลูกค้าจีนจะกลับเข้ามาอย่างแน่นอน ดังนั้น ในช่วงนี้จึงยังไม่สามารถจะเร่งให้ลูกค้าจีนรับโอนห้องชุดได้ แต่ก็สามารถเจรจายืดระยะเวลาการรับโอนออกไปได้" ดร.ชัยยุทธ กล่าว
นักธุรกิจจีนในไทยสบช่อง ซื้อจัดสรรลีสโฮลด์ 30 ปี
นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟีนิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด เปิดเผยว่า ผลของการเกิดเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ที่ขยายวงกว้างไปสู่หลายประเทศนั้นว่า การหายไปของนักท่องเที่ยวชาวจีนมีผลต่อเนื่องมาถึงตลาดคอนโดมิเนียมแน่นอน เพราะในเมื่อพวกเขามาไม่ได้ ก็ไม่สามารถเยี่ยมชม ทำสัญญา หรือตัดสินใจซื้อขาย หรือตรวจสภาพห้องชุด รวมไปถึงการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมในประเทศไทยได้ ดังนั้น ผู้ประกอบการที่เปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม โดยหวังว่าจะขายให้แก่กลุ่มผู้ซื้อชาวจีนได้รับผลกระทบโดยตรง รวมไปถึงจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ หรือเปลี่ยนเป้าหมายของตนเองจากที่เคยตั้งเป้าไว้ก่อนหน้านี้
นอกจากจะเพิ่มสัดส่วนของบ้านจัดสรรให้มากขึ้นแล้ว การลดราคาของโครงการที่สร้างเสร็จแล้วเพื่อเร่งปิดการขายโครงการ เป็นอีกวิธีการที่พวกเขาเลือกปฏิบัติในช่วงที่ต้องการเงินสด รวมไปถึงการยกเลิกการขายโครงการที่เปิดขายไปก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อนำโครงการกลับมาปรับรูปแบบ วัสดุและปรับราคาให้ต่ำลง เพื่อที่จะได้เข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อได้มากขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องยอมรับผลกระทบในเรื่องของภาพลักษณ์และชื่อเสียงของบริษัทด้วย
"แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาเลือกที่จะหารายได้เข้าบริษัทมากกว่ารักษาภาพลักษณ์ของบริษัท ที่น่าสนใจ คือ มีนักธุรกิจชาวจีนส่วนหนึ่งที่มีกิจการหรือบริษัทในประเทศไทย เลือกซื้อบ้านในโครงการจัดสรรที่พัฒนาโดยผู้ประกอบการสัญชาติจีน โดยมีทั้งการซื้อแบบสัญญาเช่าระยะยาว 30 ปี และซื้อโดยใช้บริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งชาวจีนกลุ่มนี้มีจำนวนไม่น้อยเลย รวมไปถึงการที่มีชาวจีนส่วนหนึ่งมองเรื่องการมีที่อยู่อาศัยนอกประเทศจีนเป็นที่พักในกรณีฉุกเฉิน แต่จำนวนของชาวจีนในกลุ่มนี้ยังไม่ได้มากจนต้องจับตามอง"
ดีลลูกค้าต่างชาติล่วงหน้า 6 เดือนก่อนตรวจรับโอน***
นายวิทย์ กุลธนวิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด (Capital One Real Estate) บริษัทตัวแทนด้านอสังหาริมทรัพย์และที่ปรึกษาด้านการบริการตลาดและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นบริษัทของคนไทย มีพอร์ตที่บริหารโครงการคุณภาพทั้งในทำเลสุขุมวิท และศรีราชา รวมมูลค่าโครงการกว่า 30,000 ล้านบาท หนึ่งในบริษัทที่บริหารโครงการคอนโดมิเนียมให้แก่ผู้ประกอบการที่อยู่ในทำเลที่ลูกค้าต่างชาติ รวมถึงลูกค้าชาวจีนสนใจ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงมีธุรกรรมการโอนของลูกค้าชาวจีนอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนธันวาคม ปี 2562 มีตัวเลขการโอนประมาณ 100 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 4 ล้านบาท รวมมูลค่า 400-500 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่อยู่ในโซนสุขุมวิท
"สภาพเศรษฐกิจและเรื่องของเชื้อไวรัส รวมถึงการปิดเมือง ปิดแบงก์ของจีน ก็อาจจะทำให้ลูกค้าชาวจีนประสบปัญหาในเรื่องการโอนค่างวดให้แก่โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งผู้ประกอบการน่าจะผ่อนปรน ยืดการแบ่งชำระและค่างวดลดลงบ้าง แต่ก็ให้ครบปิดก็จบ ในภาวะแบบนี้จะไปบีบรัดบังคับมากไปก็ดูจะรุนแรงไป ซึ่งพฤติกรรมของลูกค้าชาวจีนรู้คุณค่าของเงิน ไม่คิดจะทิ้งเงินดาวน์ที่ได้โอนมาแล้ว มีนิสัยเหมือนพ่อค้า ต่างกับลูกค้าที่มาจากยุโรป กลุ่มนี้จะมีความคิดอีกแบบ ทิ้งเงินดาวน์ได้ เพราะจะใส่ใจในเรื่องของการทำงาน โดยวิธีของแคปปิตอล วัน จะส่งจดหมายประสานงานกับลูกค้าล่วงหน้า 6 เดือน เพื่อได้เตรียมความพร้อม และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทัน จะว่าไปแล้ว เป็นการเช็กสุขภาพการเงินลูกค้าก่อน รวมถึงบางราย บางกรณีที่ลูกค้าชาวจีนโอนตามกำหนด จะฟรีค่าโอนห้องชุด ฟรีค่าส่วนกลางให้ ทั้งนี้ จากการติดตาม คาดว่า กลางปี 2563 ลูกค้าชาวจีนน่าจะกลับมาในประเทศไทย"
อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นแนวโน้มกลุ่มลูกค้าจากสหรัฐอเมริกา ให้ความสนใจที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย โดยมองทำเลที่กรุงเทพฯ เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี และภูเก็ต เพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 รองรับวัยเกษียณ ซึ่งเป็นข้อมูลผ่านเครือข่ายธุรกิจกับบริษัท Keller Williams หรือ KW บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ อีกทั้งเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปีนี้เติบโตมากกว่าช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ขยายตัวได้ดีกว่าเศรษฐกิจของยุโรปและเอเชีย
นายวิทย์ กล่าวแสดงความเห็นต่อกรณีที่จะมีการนำโครงการบ้านจัดสรรมาปล่อยเช่า (ลีสโฮลด์) ระยะยาวให้แก่ลูกค้าชาวจีน เพื่อรับกับวิกฤตในอนาคตนั้น ต้องพิจารณาในหลายเรื่อง เนื่องจากอสังหาริมทรัพย์ในจีนก็เป็นรูปแบบลีสโฮลด์อยู่แล้ว การจะมาไทยแม้จะได้ซื้อบ้านจัดสรร แต่ก็ยังเป็นการเช่าระยะยาว ต่างกับในสหรัฐฯ ที่เป็นรูปแบบขายกรรมสิทธิ์ (ฟรีโฮลด์) ยกเว้นการทำลีสโฮลด์ในโครงการบ้านจัดสรร ราคาจะต้องต่ำกว่า 50% ของราคาที่จะซื้อจริงในขนาดพื้นที่เดียวกัน
ด้าน นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH กล่าวเพียงว่า "เราสนใจและศึกษาหมด การทำโครงการหมู่บ้านที่จะเปิดให้ต่างชาติได้ ถ้าจะเป็นการเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ ซึ่งความเป็นไปได้ทุกโครงการจะต้องศึกษา แต่ไม่ได้ข้อสรุปว่า อะไรทำได้ หรือ ทำไม่ได้"