“สคร.” เผยแผนดำเนินงานตามภารกิจของ สคร. ในปี 63 จะเน้นสนับสนุนให้ปีนี้เป็นปีแห่งการลงทุนของรัฐบาล ย้ำการเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจโดยรวมจะอยู่ที่ระดับไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าการลงทุนรวมตามแผน 3.5 แสนล้านบาท ขณะที่ผลเบิกจ่ายสะสมงบลงทุนล่าสุดเมื่อถึงสิ้นเดือน ม.ค.63 จะมีทั้งสิ้น 3.7 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 105% ของแผนเบิกจ่ายงบลงทุนรวม เตรียมหาโครงการลงทุนใหม่ๆ เพิ่มเติม
นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กล่าวถึงแผนดำเนินงานตามภารกิจงานของ สคร. ในปี 63 ว่า จะเป็นไปเพื่อการสนับสนุนปีแห่งการลงทุนของรัฐบาล และเพื่อการสร้างเสถียรภาพทางการคลังในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศที่มีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งจากแผนการดำเนินงานของ สคร.จะช่วยเร่งการลงทุนของภาครัฐให้ปรับตัวดีขึ้นได้
ส่วนการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจนั้น คาดว่าน่าจะอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่า 90% ของแผน และสร้างกลไกที่เอื้อต่อการเข้ามาร่วมลงทุนของเอกชนในกิจการของรัฐผ่านกฎหมาย ระเบียบ และกระบวนการ PPP ที่สนับสนุนให้เกิดโครงการเร็วขึ้น สำหรับการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2562 ปัจจุบัน คนร. มีองค์ประกอบครบถ้วนแล้ว และคาดว่าจะมีการประชุม คนร. ได้ภายในเดือน มี.ค.63 เพื่อขับเคลื่อนงานต่างๆ ที่สำคัญตาม พ.ร.บ.พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ ต่อไป
ด้าน นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อำนวยการ สคร. รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการประเมินรัฐวิสาหกิจ กล่าวในรายละเอียดว่า ในปี 63 สคร. ได้กำหนดกิจกรรมหลักตามนโยบายกระทรวงการคลังโดยการเร่งการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ สคร. ได้ให้รัฐวิสาหกิจเร่งเบิกจ่ายให้เร็วขึ้นในส่วนที่สามารถดำเนินการได้ (Front-Loaded) และหาโครงการลงทุนใหม่ๆ มาเพิ่มเติมในปี 63 รวมทั้ง สคร. ยังเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาที่ทำให้การลงทุนติดขัดอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังได้ยกระดับกลไกการติดตามการลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้เข้มข้นยิ่งขึ้นโดยร่วมกับกรมบัญชีกลางในการติดตามความคืบหน้าของโครงการลงทุนที่สำคัญของภาครัฐที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1,000 ล้านบาท เป็นต้นไป โดย สคร. จะรับผิดชอบในส่วนของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด รวมทั้งเพิ่มการติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของบริษัทในเครือขนาดใหญ่ของรัฐวิสาหกิจและรัฐวิสาหกิจประเภทสถาบันการเงิน เพื่อให้การติดตามการลงทุนของรัฐวิสาหกิจครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ปี 63 มีแผนการเบิกจ่ายประมาณ 3.5 แสนล้านบาท โดย ณ สิ้นเดือน ม.ค.63 มีแผนการเบิกจ่ายสะสม 35,339 ล้านบาท ซึ่งรัฐวิสาหกิจสามารถเบิกจ่ายได้ 37,279 ล้านบาท คิดเป็น 105% ของแผน โดย สคร. ตั้งเป้าหมายให้การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปี 2563 จะต้องไม่น้อยกว่า 90% ของแผนเบิกจ่ายทั้งปี
ด้านการจัดเก็บรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่า 50% ในปี 63 นั้น สคร. มีเป้าหมายการจัดเก็บอยู่ที่ 188,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 62 จำนวน 20,800 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ผลการจัดเก็บ ณ วันที่ 19 ก.พ.63 อยู่ที่ประมาณ 95,635 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 50% ของเป้าหมายแล้ว ซึ่ง สคร. คาดว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้นำส่งรัฐให้เป็นไปตามเป้าหมาย เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายต่างๆ ของภาครัฐและสามารถรักษาเสถียรภาพทางการคลัง
น.ส.ปิยวรรณ ล่ามกิจจา รองผู้อำนวยการ สคร. รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนารัฐวิสาหกิจ กล่าวเพิ่มเติมถึงการผลักดันโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) โดยในปี 63 คาดว่าแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุนใหม่จะสามารถนำเสนอคณะกรรมการ PPP ให้ความเห็นชอบได้ ซึ่งทำให้เห็นเป้าหมายของโครงการ PPP ที่ชัดเจน สนับสนุนการลงทุนของประเทศ โดยร่างแผนที่จะเสนอคณะกรรมการ PPP จะมีโครงการ PPP ประมาณ 90 โครงการ มูลค่าการลงทุนกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะมีทั้งโครงการเชิงพาณิชย์และเชิงสังคม โดยในปีนี้กฎหมายลำดับรองภายใต้พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 น่าจะแล้วเสร็จทั้งหมด
ทั้งนี้ ในปี 2563 จะมีโครงการ PPP ที่สำคัญคือ โครงการที่จะสามารถลงนามในสัญญาร่วมลงทุนได้อย่างน้อย 6 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุน ประมาณ 385,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ Motorway สายบางปะอิน-โคราช ในส่วนของ O&M ของกรมทางหลวง (ทล.) โครงการ Motorway สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ในส่วนของ O&M ของ ทล. โครงการจัดประโยชน์ที่ดิน โรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณ ของสหโรงแรม รวมถึงโครงการการจัดให้เช่าที่ราชพัสดุสนามกอล์ฟบางพระ ของกรมธนารักษ์ และโครงการศูนย์การขนส่งฯ นครพนม ของกรมการขนส่งทางบก โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
ส่วนโครงการที่จะนำเสนอคณะกรรมการ PPP จะมีอย่างน้อย 4 โครงการ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 3.1 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โครงการเคหะชุมชนเชียงใหม่ (หนองหอย) ของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) โครงการศูนย์การแพทย์กระทรวงสาธารณสุข ของกรมการแพทย์ โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรมตามเส้นทางโครงข่ายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนของ กคช. โครงการการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะเพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
นอกจากนี้ สคร. ยังคงติดตามการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจที่อยู่ในแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรอีก 5 แห่งต่อเนื่องอย่างใกล้ชิด และจะเสนอแต่งตั้งคณะอนุกรรมการของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ชุดใหม่ เพื่อดูแลรัฐวิสาหกิจที่มีปัญหาเป็นการเฉพาะเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและมีความต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในปัจจุบันรัฐวิสาหกิจทั้ง 5 แห่ง มีความคืบหน้าที่สำคัญ โดยบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ยังคงต้องแก้ไขปัญหาเรื่องการเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและคุณภาพบริการ และที่สำคัญต้องเร่งให้มีการดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา (MRO) ให้ได้โดยเร็ว
ขณะที่การรถไฟแห่งประเทศไทย สามารถปิดงบการเงินเป็นปัจจุบันให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตรวจสอบงบได้แล้ว สำหรับสิ่งที่ยังคงต้องติดตามและกำกับอย่างใกล้ชิด คือ การจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ และการให้บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด มาดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้ กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
ด้านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความชัดเจนของแผนการแก้ไขปัญหาขององค์กรที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงการปรับปรุงแผนฟื้นฟูกิจการตามนโยบายของรัฐกระทรวงคมนาคม และแนวทางการจัดหารถโดยสารใหม่ตามแผนที่จะปรับปรุง ส่วนบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) นั้น คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2563 ได้เห็นชอบการควบรวมแล้ว และต้องดำเนินการควบรวมให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือนหลังจากที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ แต่ยังคงมีรายละเอียดจำนวนมากที่ต้องดำเนินการให้สามารถควบรวมได้อย่างไม่มีปัญหา