“รมว.คลัง” เรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ย้ำมั่นใจรัฐบาลจะเบิกจ่ายงบฯ ปี 63 ได้ไม่น้อยกว่า 80% ภายใต้ระยะเวลาที่จำกัด และพร้อมเร่งเม็ดเงินจากงบลงทุนภาครัฐ-รัฐวิสาหกิจรวม 5 แสนล้านบาทให้ไหลเข้าสู่ระบบเพื่อช่วยดูแลเศรษฐกิจในช่วงนี้ ด้าน "บสย.-ททท.-4 สมาคมด้านการท่องเที่ยวเอกชน" ถกด่วน เร่งอัดฉีดสภาพคล่องผู้ประกอบการ หลังโควิด-19 ฉุดธุรกิจท่องเที่ยวซบเซาอย่างหนัก
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังแสดงปาฐถาพิเศษ "ทิศทางเศรษฐกิจไทย และการขับเคลื่อนนโยบายของภาครัฐ" ในโครงการตลาดทุนพบภาครัฐ ครั้งที่ 1/2563 : กระทรวงการคลังพบนักวิเคราะห์และนักลงทุนสถาบันที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า นักลงทุน นักวิเคราะห์ รวมถึงผู้จัดการกองทุนรายใหญ่ยังมีเรื่องที่มีความสนใจอยู่ 2-3 เรื่องคือ อนาคตของสถานการณ์เมื่อรัฐบาลได้ใช้มาตรการในการดูแลเศรษฐกิจแล้วจะเป็นอย่างไร แนวทางการใช้งบประมาณรายจ่ายในปี 63 และสิ่งที่นักวิเคราะห์ นักลงทุน เป็นห่วงมากที่สุดคือ ปัญหาการแพร่ระบาดขอเชื้อไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ย้ำว่า หลัง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 63 มีผลบังคับใช้จริงแล้ว กระทรวงการคลังมีความพร้อมในการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2563 โดยทันที อีกทั้งยังได้อธิบายถึงแผนงานการเบิกจ่ายงบประมาณปี 63 ให้นักลงทุนและผู้จัดการกองทุนต่างๆ ได้รับทราบว่า วงเงินงบฯ ปี 63 โดยรวมที่มีทั้งสิ้น 3.2 ล้านล้านบาทนั้น จะเหลือระยะเวลาในการเบิกจ่ายได้อีก 6 เดือนก่อนที่ปีงบฯ 63 จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 ก.ย.63 โดยสำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางคาดว่าในไตรมาส 3 ของปี 63 จะสามารถเบิกจ่ายได้ราว 77% และการเบิกจ่ายตลอดปีงบประมาณ 63 จะยังเป็นไปตามเป้าหมายในระดับที่ตั้งไว้ไม่น้อยกว่า 80% ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายรวมที่ 3.2 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการเบิกจ่ายงบประจำนั้น คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหา เนื่องจากกระทรวงการคลังได้เร่งรัดให้หน่วยงานต่างๆ เบิกจ่ายได้ตามแผนงาน อีกทั้งยังเตรียมที่จะกระตุ้นให้หน่วยงานรัฐเร่งจัดงานสัมมนาต่างจังหวัดแทนการจัดสัมมนาช่วงปลายปี ขณะที่งบประมาณแก้ไขปัญหาภัยแล้ง สำนักงบประมาณได้เตรียมพร้อมการเบิกจ่ายได้ทันทีหลังกระทรวงมหาดไทยออกประกาศเขตพื้นที่ภัยแล้งแล้ว
ขณะที่งบลงทุนราว 6.4 แสนล้านบาทนั้น สำนักงบประมาณได้ประเมินไว้ตัวเลขว่าจะมีงบประมาณราว 3.5 แสนล้านบาท ที่จะสามารถเบิกจ่ายได้ทันทีที่ พ.ร.บ.งบฯ ปี 63 มีผลบังคับใช้ และอีกราว 9.6 หมื่นล้านบาทนั้น ได้มีการจัดทำสัญญาข้อตกลงในการว่าจ้าง (TOR) เอาไว้แล้ว และมีความพร้อมที่จะปล่อยเงินงบประมาณส่วนนี้ออกมา โดยเมื่อรวมเม็ดเงินของงบประมาณทั้ง 2 ส่วนนี้เข้าด้วยกันแล้วจะมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 4 แสนล้านบาท ที่คาดว่าจะไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ภายในไตรมาส 2 ของปี 63 ส่วนงบลงทุนที่ยังเหลืออีก 2.4 แสนล้านบาทนั้น ในปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำ TOR ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการจัดทำราว 45-50 วัน และคาดว่าการเบิกจ่ายงบฯ ในส่วนนี้จะสามารถดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ของปีนี้ นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังได้ตั้งเป้าการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในเดือน มี.ค.63 ไว้อีก 1 แสนล้านบาท เมื่อเทียบจากงบลงทุนรวมของรัฐวิสาหกิจในปีงบประมาณ 63 ที่ 3.5 แสนล้านบาท
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังย้ำว่า รัฐบาลได้เตรียมแผนการเบิกจ่ายใช้งบให้เร็วที่สุดแล้ว โดยหากรวมงบลงทุนของรัฐบาลที่กำหนดวงเงินรวมไว้ที่ 4 แสนล้านบาท เข้ากับงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอีก 1 แสนล้านบาทแล้ว จะทำให้มีเม็ดเงินงบประมาณของรัฐบาลที่ไหลเข้าสู่ระบบรวมกัน 5 แสนล้านบาทเพื่อช่วยดูแลเศรษฐกิจในช่วงนี้ ทั้งนี้ ในปัจจุบันทุกคนยังคงมีความเป็นห่วงถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว อีกทั้งเศรษฐกิจไทยก็มีปัญหาการเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงมาตั้งแต่ปี 62 แล้ว จึงเป็นเหตุให้รัฐบาลต้องออกชุดมาตรการกระตุ้นทั้งในเรื่องการอุปโภค การบริโภค และการลงทุน รวมถึงออกมาตรการเพื่อดูแลภาคการเกษตรรวมถึงภัยแล้งด้วย แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีความพร้อมที่จะออกมาตรการเพิ่มเติมในระยะต่อไป
ส่วนมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นั้น รัฐบาลได้ออกมาตรการไปแล้ว และเตรียมที่จะออกมาตรการใหม่เพิ่มเติมอีกครั้ง โดยเป็นผลมาจากการหารือร่วมกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมถึง 3 สถาบันในภาคเอกชน (กกร.) โดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังได้เน้นย้ำให้ดูแลเรื่องเศรษฐกิจในระยะสั้น เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบและผลักดันให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ ขณะที่การใช้มาตรการระยะสั้นยังต้องเดินควบคูกันไปกับการลงทุนตามแผนยุทธศาสตร์ชาติที่ได้วางเอาไว้ เพื่อช่วยวางรากฐานของเศรษฐกิจใหม่ในระยะยาวให้แก่ประเทศด้วย
นายอุตตม ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เศรษฐกิจในระยะยาวจะเป็นเช่นไรต่อไปนั้น คงต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยของเศรษฐกิจโลก โดยปัจจุบันแม้จะมีแนวโน้มที่ดีในเรื่องการตกลงกันได้ระหว่างสหรัฐฯ และจีน แต่ก็มีปัจจัยการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เข้ามาแทรก ซึ่งสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของไทย แต่หากปัญหาดังกล่าวนี้สามารถคลี่คลายได้อย่างรวดเร็วแล้ว ตนคาดว่าภาคการท่องเที่ยวน่าจะฟื้นกลับมาได้ในช่วงเดือน มิ.ย.-ส.ค.63 และหากทั้งภาครัฐและเอกชนให้ความร่วมมือกันได้เป็นอย่างดีแล้ว จะทำให้เศรษฐกิจไทยมีความพร้อมที่จะกลับมาฟื้นตัวได้
ด้าน นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พร้อมด้วยประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA) นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) และทีมผู้บริหารระดับสูงจาก บสย. ได้แก่ นางดุสิดา ทัพวงษ์ รองผู้จัดการทั่วไป สายงานกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์ และนายกิตติพงษ์ บุรณศิริ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาและบริหารผลิตภัณฑ์ ร่วมประชุมหารือเพื่อออกมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่กำลังได้รับผลกระทบทางธุรกิจจากการแพร่ระบาดของ ไวรัสโควิด-19
สำหรับสาระสำคัญของการประชุม จะประกอบไปด้วย การรับฟังปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการและธุรกิจท่องเที่ยว การรับฟังความคิดเห็นจากตัวแทนผู้ประกอบการ และการหารือแนวทางให้ความช่วยเหลือร่วมกัน โดย บสย.ได้เสนอแนะมาตรการ “ต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย” ซึ่งให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านการค้ำประกันสินเชื่อ โดยขยายระยะเวลาค้ำประกันออกไป 5 ปี เพื่อให้ผู้ประกอบการตัวเบาขึ้น และเติมทุนใหม่ด้วยการค้ำประกันสินเชื่อแบบฟรีค่าธรรมเนียม 2 ปี เพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและเสริมสภาพคล่อง ซึ่งขณะนี้ บสย.ได้บูรณาการความร่วมมือกับธนาคารพันธมิตรของรัฐในการปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษมาช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างเต็มที่แล้ว