xs
xsm
sm
md
lg

ลุ้นเซ็นทรัลรีเทลฯ เทรด20 ก.พ.นี้ ระดมทุนเฉียด 8 หมื่นล้านบาท จ่ายหนี้ - ขยายสาขาเพิ่ม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) ประกาศศักดา ระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้นไอพีโอ 1.69 พันล้านหุ้น ในราคา 42 บาท/หุ้น ก่อนเข้าเทรด 20 ก.พ.นี้ ทุบถิติเป็นหุ้นน้องใหม่ที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหุ้นไทย มาร์เก็ตแคปกว่า 2 แสนล้านบาท และยังเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่มีมูลค่าระดมทุนสูงสุดทั่วโลกในรอบ 13 ปี โดยนำเงินจากการขายไปชำระหนี้-ขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ ที่ปรึกษาทางการเงินมั่นใจ CRC จะช่วยกระตุ้นบรรยากาศการลงทุนในตลาดฯ ให้มีความคึกคักขึ้น


วันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้ นับเป็นอีกหนึ่งวันที่น่าจับตามองของนักลงทุน เพราะจะมีหุ้นน้องใหม่เข้ามาทำการซื้อขาย (เทรด)ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และว่ากันว่าจะทำให้ตลาดหุ้นคึกคักและนักลงทุนให้ความสนใจไม่น้อย ด้วยเม็ดเงินระดมทุนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ เพราะ " บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ CRC " หุ้นน้องใหม่อภิมหาไอพีโอ รายนี้ มีเจ้าของอย่างกลุ่ม "จิราธิวัฒน์" เจ้าของกิจการหลากหลาย และเป็นที่รู้จักกันดีมากในนามโรงแรมเซ็นทรัล นั่นเอง จึง ถือได้ว่าเป็นโคตรหุ้น IPO ที่ใหญ่ที่สุดของไทย แล้วก็เป็น IPO ค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกัน

โดย CRC เสนอขายหุ้น IPO ด้วยมูลค่ารวม 78,124 ล้านบาท และ จะเป็นหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ (Market Capitalization) ณ วันที่เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เป็นวันแรกที่ 253,302 ล้านบาท (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) ซึ่งจะเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 15 ลำดับแรกของตลาดหลักทรัพย์ ยังผลให้ CRC ได้รับการจัดเข้าไปรวมอยู่ในดัชนี SET50 ด้วยเกณฑ์ Fast-Track ภายใน 3 วันทำการนับจากวันที่หุ้น CRC เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรกด้วย

ปลายปีก่อน หุ้นบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เคยสร้างประวัติศาสตร์ นำหุ้นเสนอขายประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก ระดมทุนมากที่สุด48,000 ล้านบาท แต่สถิติหุ้น AWC กำลังถูกหุ้น CRC ทำลาย เพราะจะนำหุ้นเสนอขาย ระดมทุน 72,000 ล้านบาท

ดังนั้น AWC กับ CRC เป็นหุ้นขนาดใหญ่ด้วยกัน มีเจ้าสัวถือหุ้นใหญ่เหมือนกัน และกำลังมีคำถามว่า เมื่อเข้าตลาดหุ้นแล้ว CRC จะทำให้นักลงทุนต้องผิดหวังเหมือนหุ้น AWC หรือไม่ เพราะการเสนอขายหุ้นสู่ประชาชนทั่วไปของ CRC ดำเนินการควบคุมไปกับการเทนเดอร์ออฟเฟอร์ หรือการทำคำเสนอซื้อหุ้นบริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) หรือ ROBINS ในสัดส่วน 1 หุ้น ROBINS ต่อ 1.55 ถึง 1.66 หุ้น CRC ก่อนที่จะ เพิกถอน ROBINS ออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียน


ทั้งนี้ CRC ถือหุ้น ROBINS ทั้งทางตรงและทางอ้อมสัดส่วน 53.83% ส่วนที่เหลือเป็นนักลงทุนกลุ่มอื่นและนักลงทุนรายย่อย โดยกฎเกณฑ์การทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์และเพิกถอนการเป็นบริษัทจดทะเบียน กำหนดไว้ชัดเจนว่า ต้องเสนอทางเลือกหนึ่งเป็นเงินสดเสมอ แต่ CRC กลับได้รับการผ่อนปรนเป็นกรณีพิเศษ เพราะไม่มีเงื่อนไขการซื้อหุ้นคืนเป็นเงินสดให้ผู้ถือหุ้น ROBINS เลือก แต่กำหนดเฉพาะการแลกหุ้นเท่านั้น ซึ่งข้อผ่อนปรนกรณีไม่ซื้อคืนด้วยเงินสดเพื่อเปิดเป็นทางเลือกให้ผู้ถือหุ้น ROBINS ต้องถามสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า สามารถผ่อนปรนได้ในทุกกรณีหรือไม่ หรือเป็นสิทธิพิเศษเฉพาะบางกรณีเท่านั้น


อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าสนใจกว่าคือ หุ้น CRC แนวโน้มจะดีหรือไม่ ถ้าย้อนดูรายละเอียดในการยื่นแบบรายการแสดงข้อมูลหรือยื่นไฟลิ่งครั้งแรก หุ้นที่ประกาศเสนอขายมีจำนวนทั้งสิ้น 2,231.71 ล้านหุ้น ประกอบด้วยหุ้นเพิ่มทุน 1,620 ล้านหุ้น และหุ้นที่ถือโดย Hawthorn Resources Limited จำนวนไม่เกิน 611,714,300 หุ้น

ขณะที่การถือหุ้นนั้น กลุ่มเซ็นทรัลวางแผนจะลดสัดส่วนการถือหุ้นใน CRC เหลือ 60% แต่เมื่อนำหุ้นเสนอขายเพียง 1,691 ล้านหุ้น หลังการเสนอขายหุ้นกลุ่มเซ็นทรัลจะเหลือสัดส่วนการถือหุ้น 70% ของทุนจดทะเบียน และการปรับแผนขายหุ้น เนื่องจาก เนื่องจากนักลงทุนทั่วไปไม่ได้ตอบรับหุ้น CRC อย่างล้นหลาม ถ้านำหุ้นเสนอขายจำนวนมาก อาจขายไม่หมด ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุน เพราะสถานการณ์รอบด้าน ไม่เป็นใจให้การต้อนรับ CRC เข้าตลาดหุ้นแต่อย่างใด ไม่ว่าผลกระทบจากวิกฤตไวรัสอู่ฮั่นและธุรกิจค้าปลีกที่ซบเซาอย่างหนัก!!

โดย CRC ดำเนินธุรกิจค้าปลีกสินค้ามายาวนานถึง 70 ปี โดยใช้เครื่องหมายทางการค้าหลักคือ เซ็นทรัล(Central) ผ่านรูปแบบและช่องทางหลากหลาย (Multi-format and Multi-category) ทั้งในประเทศไทย อิตาลี และเวียดนาม ด้วยสถานะความเป็นผู้นำอันดับ 1 ธุรกิจรีเทลในประเทศไทย ผู้ประกอบการอันดับ 1 ธุรกิจค้าปลีกข้ามชาติในประเทศเวียดนาม และผู้ประกอบการอันดับ 1 ธุรกิจห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ในประเทศอิตาลี และยังมีโอกาสต่อยอดความสำเร็จจากช่องทาง Customer-Centric Omni-Channel ที่สามารถสร้างรายได้จากทุกที่ ทุกเวลา และทุกช่องทาง พร้อมด้วยสถานะทางการเงินที่มีความแข็งแกร่งพร้อมสนับสนุนทุกโอกาสการเติบโตในอนาคต

ปัจจุบันเแบ่งธุรกิจหลักเป็น 3 กลุ่ม และมีสัดส่วนรายได้ ณ สิ้น ก.ย.62 ดังนี้ กลุ่มแฟชั่น เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน และรีนาเชนเต สัดส่วนรายได้ 33.35% ,กลุ่มฮาร์ดไลน์ เช่น ไทวัสดุ และเพาเวอร์บาย สัดส่วนรายได้ 24.15% และกลุ่มฟู้ด เช่น ท็อปส์ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และบิ๊กซี เวียดนาม สัดส่วนรายได้ 41.87%

ณ วันที่ 30 กันยายน 2562 กลุ่มบริษัทฯ มีร้านค้าในรูปแบบต่าง ๆ ภายใต้แบรนด์ค้าปลีกที่สำคัญ ในประเทศไทยจำนวน 1,922 ร้านค้า ครอบคลุม 51 จังหวัด นับเป็นผู้ประกอบการค้าปลีกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

สำหรับภายในประเทศเวียดนามมีร้านค้าปลีกทั้งหมด 133 ร้านค้า ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของประเทศเวียดนาม และในประเทศอิตาลี มีห้างสรรพสินค้าทั้งหมด 9 แห่งถือเป็นผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เมื่อพิจารณาจากส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 48.1% จากรายงานของ Euromonitor International

CRC มีรายได้ในไทยกว่า 60%

สำหรับ รายได้รวมของ CRC แบ่งเป็น ประเทศไทยมากกว่า 60% เวียดนาม 17-18% และยุโรปมากกว่า 10% ส่วน EBITDA ในปี 61 อยู่ที่ 22,051 ล้านบาท อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 4.5% โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% และมีอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E) อยุ่ที่ 0.7 เท่า

ปัจจุบัน CRC มีจุดขายรวม 3,856 แห่งใน 3 ประเทศ (ไทย เวียดนาม อิตาลี) พื้นที่ขายรวม 2,998,656 ตร.ม. ฐานลูกค้า 28.8 ล้านรายทั่วโลก ทั้งนี้ บริษัทมีธุรกิจใน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มแฟชั่น กลุ่มฮาร์ดไลน์ และกลุ่มฟู้ด ในหลากหลายรูปแบบและช่องทาง (Multi-format) ที่ครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ (Multi-market) โดยมีแบรนด์ค้าปลีกชั้นนำมากมาย อาทิ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ซูเปอร์สปอร์ต เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป เพาเวอร์บาย ไทวัสดุ ท็อปส์ แฟมิลี่มาร์ท โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ ในประเทศไทย รวมไปถึงบิ๊กซี/GO! เหงียนคิม ลานชีมาร์ท ในประเทศเวียดนาม และ รีนาเชนเต ห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศอิตาลี

ขณะที่ CRC ยังเป็นผู้นำในการให้บริการผ่าน Customer-Centric Omni-channel แพลตฟอร์มที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสามารถใช้ประสิทธิภาพจากเครือข่ายร้านค้าที่ครอบคลุมควบคู่ไปกับช่องทางออนไลน์ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อมอบประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อและแตกต่างสำหรับลูกค้า พร้อมมุ่งสู่ทศวรรษแห่งการต่อยอดการเติบโตของบริษัท

ในเมืองไทยยังมีโอกาสเติบโตมาก โดยเฉพาะการขยายออนไลน์ สิ่งสำคัญทำให้เกิดการรองรับลูกค้า สิ่งสำคัญเรื่อง Logistic Cost การมีร้านแบบ physical เพราะมีการส่งมอบสินค้าผ่านสาขาเซ็นทรัล 55% และมีพันธมิตรอย่าง GRAB ที่ส่งของได้ภายใน 1 ชม.




กำลังโหลดความคิดเห็น