การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตค่อนข้างมาก มีหลายปัจจัยทำให้ผู้ประกอบการทุกรายต้องวิเคราะห์การทำโครงการอย่างละเอียดและลึก เพื่อให้ทันกับวิถีไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่ปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว ที่ปัจจุบันไม่ได้มองแค่เรื่องการอยู่อาศัย แต่ผู้ซื้อกำลังมอง "คุณภาพชีวิตที่ดี" ที่สามารถส่งต่อความสุขจากรุ่นสู่รุ่น และคนที่ตนเองรักได้อย่างสมบูรณ์
ทำให้วิธีคิดของการตลาดในยุคนี้ต้องมุ่งความไว และแม่นยำ เพื่อขยายฐานลูกค้าช่วงชิงโอกาส ขณะที่ความต่อเนื่องของการพัฒนาโครงการ นับเป็นจุดสำคัญของโมเดลการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส เนื่องจากในปัจจุบัน ราคาที่ดินในเมืองและรอบๆ เมืองมีการปรับตัวสูง อันเป็นผลของการขยายตัวของเมืองและโครงข่ายรถไฟฟ้าที่เพิ่มแนวออกสู่นอกเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ของประเทศไทยที่มีกำลังเงิน บุคลากร และความได้เปรียบในหลายๆด้าน กำลังมุ่งสู่ความเป็น "ผู้นำ" ในการสร้างสรรค์โครงการที่มากกว่าคำว่า "การอยู่อาศัย" และสามารถสร้างผลงานเพื่อแข่งขันบนเวทีอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกได้
เจาะลึกโปรเจกต์ยักษ์ 'ฟอเรสเทียส์' เมืองแห่งความสุข
นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการ เดอะฟอเรสเทียส์ โดยบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า เมืองฟอเรสเทียส์ เป็นความตั้งใจของบริษัทที่จะทำโครงการที่มีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 125,000 ล้านบาท ไม่ใช่เป็นแค่โครงการระดับประเทศไทย แต่จะเป็นโครงการต้นแบบที่ทั่วโลกยอมรับ เราจะสร้างเมืองขึ้นมา สามารถพูดได้เลยว่า ผู้ที่มาอยู่ในโครงการเดอะฟอเรสเทียส์ อยู่แล้วมีความสุข มีสุขภาพที่ดีขึ้น แต่เป็นโจทย์ที่ท้าทายมาก เพราะไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนก็มีความแตกต่างกัน เราจึงได้เสาะหาค้นคว้าในแนวของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ก็ได้คำตอบมาว่า เมืองที่ทำให้คนมีความสุข คือ ต้องอยู่กับครอบครัวและกับเพื่อนที่เรารักได้ จะเห็นได้ว่าภายในโครงการเดอะฟอเรสเทียส์ มีตึกสูงและโครงการแนวราบ มีการประกอบและรวมกันอยู่ในพื้นที่เดียวกัน นั่นแปลว่า โครงการต้องสามารถตอบโจทย์คนทุกรุ่นทุกวัยได้ ไม่ว่าจะเป็นวัยเริ่มต้นทำงาน คู่สมรสใหม่ วัยสร้างครอบครัว หรือพ่อแม่สูงวัย
เพราะจากการทำวิจัย เหตุผลที่ผู้อยู่อาศัยในโซนบางนา ต้องการเข้ามาอยู่ในบริเวณนี้ จากคำตอบการสัมภาษณ์ 100 กว่าคน ต้องการสิ่งแวดล้อมที่ดี ต้องการยกคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะการจะมาซื้อที่อยู่อาศัยในโซนบางนา ราคาที่อยู่อาศัยค่อนข้างสูง ทำให้ผู้ซื้ออาจจะไม่สามารถรับกับราคาของที่อยู่อาศัยที่สูงมาก อันนี้คือช่องว่างทางการตลาดที่เราเห็น หรือกลุ่มครอบครัวขนาดใหญ่ ก็ต้องการอยู่ในพื้นที่เดียวกัน เวลาที่คิดถึงกันสามารถเรียกลูกหลานมาพบกันได้อย่างใกล้ชิด มากินข้าว ฉะนั้น เราจะทำให้ครอบครัวเล็กของทุกคนมีพื้นที่ส่วนตัว จะไปไหนก็ได้ แต่ช่วงเวลาของครอบครัวแล้ว ก็สามารถมาอยู่พร้อมหน้ากันได้อย่างสะดวก และยังมีโครงการที่อยู่อาศัยรองรับการดูแลผู้สูงอายุ โดยมีผู้เชี่ยวชาญระดับโลก เช่น จากประเทศแคนนาดา ด้านอัลไซเมอร์ที่ดูแลได้อย่างใกล้ชิดและดูแลตลอด เราอยากทำเมืองที่คนอยู่แล้วมีความสุข หรือแม้แต่โครงการวิสซ์ดอม คอนโดมิเนียม ที่เรามีสิ่งอำนวยความสะดวก สระว่ายน้ำยาว 30 เมตร และมีที่ปีนเขา ซึ่งเป็นแนวคิดที่เราจะให้คนทุกเพศทุกวัยสามารถมีที่อยู่อาศัยเหมาะสมกับตัวเองและอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
"ที่เราทำป่า เหตุผลจากการที่เราทำงานร่วมกับพันธมิตรต่างๆ อย่างพาร์ตเนอร์ที่สำคัญของเรา คือ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ชี้ว่า เวลามนุษย์ถ้าได้อยู่กับธรรมชาติทุกวัน จะทำให้ความเครียดน้อยลง สุขภาพดีขึ้น เด็กๆ ที่เติบโตมากับธรรมชาติ จะจิตใจดี มีความยุติธรรมมากขึ้น วันนี้จึงมีวิธีการบำบัด เอาคนเข้าไปอยู่ในป่า ไปอาบป่า ดังนั้น เมื่อเรามีที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทุกเพศทุกวัยแล้ว การจะสร้างสังคมหรือการพบปะที่ดีที่สุดก็คือ เรื่องของป่า เราไม่ได้จัดสวน วันนี้ ประเทศไทยมีปัญหาพื้นที่สีเขียว เรามีข้อมูลมาว่า ปริมาณพื้นที่สีเขียวต่อประชากร 1 คน น้อยกว่าตามมาตรฐานของ WHO ตั้งไว้ เนื่องจากเมืองขยาย และถูกกำหนดพื้นที่สีเขียวด้วยกฎหมายที่บังคับให้มีพื้นที่สีเขียวยั่งยืน สุดท้าย ทุกคนต้องเอาต้นไม้ใหญ่มาไว้ในโครงการ แต่เป็นแค่ย้ายพื้นที่สีเขียวมาไว้เท่านั้น เราไม่ได้สร้างความยั่งยืนให้แก่พื้นที่สีเขียว"
แต่ความโชคดี คือ เราได้มีโอกาสเห็นผลงานของอาจารย์อากิระ มิยาวากิ ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกป่าจากประเทศญี่ปุ่น ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ในโครงการปลูกป่าของโตโยต้า โดยมีวิธีคิดว่า ใน 1 ตารางเมตร (ตร.ม.) ให้ปลูกต้นไม้ที่ต่างสายพันธุ์กัน 4 ต้น เพื่อแข่งกันโต ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ต่างจากภาครัฐ การให้ต้นไม้แย่งอาหาร แย่งน้ำกัน ต้นไม้ที่โตจะยืดสูงกว่าต้นอื่น ซึ่งได้มีการพิสูจน์แล้วในป่าโตโยต้า และป่า ปตท.ใน 1 ปีของต้นไม้ (หน้าฝนชนหน้าฝน) ต้นไม้จาก 60 ซม. จะโตขึ้นเป็น 1.50 ซม. และต้นไม้ที่ผ่านไป 3 ปี จะสูงถึง 7-8 เมตรแล้ว และความแข็งแรงของต้นไม้จะทำให้เราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ
"ถ้าเรามาเริ่มปลูกตั้งแต่วันนี้ การก่อสร้างโครงการฟอเรสเทียส์ใช้เวลา 3 ปี วันที่ลูกบ้านเข้าอยู่ อย่างน้อยเราจะทำให้เกิดพื้นที่สีเขียวที่เป็นธรรมชาติมากในระดับหนึ่งแล้ว และในระยะเวลาผ่านไป ผู้ที่อยู่อาศัยภายนอกโครงการจะเห็นว่า โครงการเดอะฟอเรสเทียส์ เป็นเหมือนโอเอซิส จะมีการขยายความเป็นป่า ความเป็นต้นไม้มากขึ้น เพราะเราปลูกแบบธรรมชาติมาก ซึ่งในวันนี้เราอยากทำเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่แค่ในประเทศ แม้แต่มหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หรือสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หรือ MIT กล่าวว่า ไม่เคยมีใครคิดเรื่องการสร้างที่อยู่อาศัย แล้วเอาธรรมชาติเข้ามาอยู่กับคนที่อยู่อาศัยแบบเรา เรามั่นใจว่าจะเป็นโครงการแรกในโลกที่มนุษย์อยู่กับธรรมชาติ และธรรมชาติเป็นที่อยู่ของสัตว์ด้วย ซึ่งเราจะมีการกันพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ เพราะตามหลักนิเวศวิทยา จุดที่มนุษย์เดินห่างออก 30 เมตร จะเป็นจุดที่สัตว์จะไม่รู้สึกว่า มนุษย์รบกวน ตรงนี้เราคิดว่าจะเป็นพื้นที่ที่นกต่างๆ มาอยู่และทำรังได้ดีกว่าที่เคยอยู่"
นอกจากนี้ ป่าของเรามีการเปิดให้บุคคลภายนอกสามารถเข้ามาศึกษาและเรียนรู้ทั้งเรื่องชีวภาพ การปลูกต้นไม้ และเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติ ซึ่งเราต้องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวจริงๆ แต่แน่นอน เรื่องความปลอดภัยนั้น เราได้มีระบบควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพและรัดกุม ที่จะมีการเคลียร์ไม่ให้มีบุคคลภายนอกหลง หรืออยู่ในโครงการ
แนวคิดการปลูกต้นไม้ภายในโครงการเดอะฟอเรสเทียส์ จะไม่เหมือนทั่วไป เพราะปลูกต้นไม้จากต้นกล้า คือ เราไม่ค่อยเชื่อเรื่องการที่เอาต้นไม้แล้วไปปลูก แน่นอนบางส่วนก็ต้องมีต้นไม้ใหญ่ที่โตในบางส่วน แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ในโครงการเดอะฟอเรสเทียส์ จะปลูกต้นไม้ที่เป็นต้นกล้ามากถึง 45,000 ต้น ซึ่งเป็นหลักการของการสร้างความยั่งยืน จุดเริ่มต้นทำโครงการเดอะฟอเรสเทียส์ ต้องการฟื้นฟูและเพิ่มพื้นที่สีเขียวขึ้นมา จากผลการศึกษาอย่างต่อเนื่อง พบว่า การเคลื่อนย้ายต้นไม้ใหญ่ สิ่งที่เราเห็น ด้วยข้อจำกัดของรถบรรทุกที่ขนและเคลื่อนย้ายบนท้องถนน ต่อให้ยาวแค่ไหนก็ต้องไม่เกิน 15 เมตร ซึ่งหมายความว่า เวลาขน ระยะความห่างของกิ่งของต้นไม้จะต้องถูกตัดจนเหลือแต่กิ่งโล้นๆ รวมถึงรากแก้วของต้นไม้ที่จะต้องถูกตัดออกไป ซึ่งต้นไม้ที่ถูกตัดรากแก้วจะมีสภาพคล้ายๆ บอนไซ ทีมนักนิเวศวิทยามาช่วยศึกษาเรื่องนี้ และมีข้อมูลมาอ้างอิง มีผลการทดลอง ต้นไม้ที่ถูกตัดแล้วนำมาปลูก เวลาผ่านไป 1 ปี จะเติบโตไม่ถึง 5 เซน เพราะถูกแช่แข็งไปตั้งแต่ตอนตัดต้นไม้เรียบร้อยแล้ว เพื่อนำไปปลูกในพื้นที่ ต้องมีการทำที่ล้อมต้นไม้เพื่อไม่ให้ล้มไปตลอดชีวิต แต่ที่ได้จากการศึกษา ผลของการล้อมต้นไม้ จะมีต้นทุนบริหารจัดการในอนาคตที่จะเกิดขึ้นกับทุกหมู่บ้าน เป็นค่าใช้จ่ายหลัก เช่น ถ้าเป็นโครงสร้างเหล็ก ในช่วง 5 ปี จะต้องมีการปรับเปลี่ยนมุมของโครงสร้าง หรือล้อมด้วยไม้ เมื่อผ่านไป 1 ปี ไม้จะผุและเปราะบาง สุดท้ายก็ต้องมีค่าใช้จ่ายในการหาไม้มาทำล้อมอีก เป็นค่าใช้จ่ายที่มหาศาลที่ลูกบ้านจะต้องรับภาระตลอดไป
"หากเราพูดเรื่องการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ทำไมไม่ทำพื้นที่สีเขียวที่ยั่งยืน วันนี้ ข้อกฎหมายของผังเมือง ระบุว่า ในพื้นที่ 50% จะต้องมีต้นไม้ยั่งยืน แต่จริงๆ แล้ว ความยั่งยืนของต้นไม้ คือ การล้อมเอามาปลูก และจะต้องล้อมไปตลอด และจะเติบโตช้า เพราะไม่มีรากแก้ว ซึ่งในโครงการเดอะฟอเรสเทียส์ เราจะมีป่าของเราบนเนื้อที่ 30 ไร่ ซึ่งเป็นหัวใจของเราที่อยู่ตรงกลางโครงการบริเวณนี้จะเป็นต้นไม้ที่เราปลูกจากต้นกล้าเลย เราปลูกทดลองไปประมาณ 2,000 ต้น และจะเริ่มปลูกจริงทั้งป่าต้นเดือน 5 ประมาณ 30,000 ต้น เพราะช่วงเดือนนี้กำลังดี หน้าฝน แต่หากไปปลูกช่วงหน้าหนาวไม่ดี ต้นไม้จำศีล และตามทฤษฎีของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ต้นไม้ในพื้นที่ 1 ไร่ จะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2 ได้ 1 ตันต่อปี ซึ่งปริมาณการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในโครงการ เทียบเท่ากับปริมาณที่พื้นที่ปลูกต้นไม้ขนาด 30,000 ไร่ จะดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้"
นวัตกรรมทำระบบความเย็น-ลดภาวะเรือนกระจก
สำหรับนวัตกรรมในการสร้างระบบแอร์ขึ้นมา เพื่อส่งเสริมเรื่องธรรมชาติ หากเรายังใช้ระบบแอร์เดิมๆ ที่เวลาเราจะทำให้ความเย็น 1 องศา จะต้องพ่นลมร้อนออกไป 1.3 องศา ซึ่งทุกวันนี้เรากำลังทำความเย็นให้แก่ตัวเอง แต่เรากำลังสร้างโลกให้ร้อนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่ใช่หลักการของความยั่งยืนในโครงการฟอเรสเทียส์ เราจะมีการสร้างโรงงานผลิตน้ำเย็นขึ้นมา จะมีการเดินท่อน้ำเย็นไปยังจุดต่างๆ เพื่อส่งผ่านความเย็นไปยังโรงพยาบาล โรงแรม พื้นที่ค้าปลีก และอาคารสำนักงาน และมีการเดินท่อน้ำเย็นลอดใต้ดินยาวไปถึงโครงการที่อยู่อาศัยทั้งหมด เพื่อจ่ายความเย็นไปยังผู้พักอาศัย เช่น ในพื้นที่ค้าปลีกในช่วงเวลากลางคืน จะไม่มีการเปิดบริการ ก็สามารถแชร์ส่วนนี้ไปจ่ายให้แก่ผู้อยู่อาศัยได้ เราสามารถบริหารการทำงานของเครื่องทำความเย็นได้ ทำให้พลังานทั้งหมดถูกลดลงมากกว่า 40%
"การทำลายสิ่งแวดล้อม เวลาน้ำยาแอร์รั่วก็จะระเหยและขึ้นไปทำลายชั้นบรรยากาศของโลก แต่ระบบของเรา เป็นการทำความเย็นด้วยน้ำ ช่วยลดการใช้น้ำยาทำความเย็น และช่วยลดการทำลายธรรมชาติได้มาก ลดการติดตั้งคอมเพรสเซอร์ยูนิตในทุกๆ บ้านได้เลย ต่อให้ไฟดับ ผู้อยู่อาศัยในฟอเรสเทียส์ยังได้รับความเย็นอยู่เสมอ ทั้งนี้ หากเป็นโครงการทั่วไป การเปิดเครื่องทำความเย็น หรือชิลเลอร์ ในห้องพักเพียงห้องเดียวถือว่าไม่คุ้มค่า อย่างน้อยต้องเปิดแอร์อย่างน้อย 60 เปอร์เซ็นต์ของห้องนั้น ถึงจะคุ้ม รวมทั้งเราได้เซ็นบันทึกข้อตกลงกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เพื่อยืนยันว่า ระบบความเย็นที่เราทำช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 30,000 ตันต่อปีของ CO2 ทางองค์การฯ ได้เห็นผลงานของเรา แฮปปี้ และอยากให้เราเป็นโครงการต้นแบบ ในฐานะที่เราเป็นคนสร้างเมือง เราอยากสร้างเมืองทำให้เมืองยั่งยืน และทำให้ดูแลสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนได้อย่างไร"
'ยูนิเวอร์แซลดีไซน์' ออกแบบชีวิตให้แก่ทุกเจเนอเรชัน
ในปัจจุบัน ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ดังนั้น การวางผังของโครงการจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยในแต่ละวัย จากข้อมูลในต่างประเทศพบว่า ผู้สูงอายุ จะขังตัวเองอยู่ในห้อง เกิดความเครียดมาก ไม่ใช่ไม่มีเงิน แต่ไม่กล้าออกมา แต่ในเมืองฟอเรสเทียส์ทั้งหมด เราออกออกแบบมาเป็นยูนิเวอร์แซลดีไซน์ เช่น ยกระดับถนนกับฟุตบอลให้อยู่ในระดับเดียวกัน ถนนเดินรถ จะมีถนนแนบซ้ายและขวา เหตุผลก็เพื่อแยกคนออกจากรถ และแยกคนที่เดินในโครงการออกเป็น 2 กลุ่ม เช่น กลุ่มคนที่แข็งแรงที่นิยมออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน จะอยู่อีกฝั่งความกว้างของทางประมาณ 3 เมตร และอีกฝั่งจะไว้รองรับเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ต้องนั่งรถเข็น (วีลแชร์) ที่สามารถใช้เส้นทางเดินได้รอบโครงการ ซึ่งเป็นการออกแบบและสร้างเมืองรองรับอนาคตของผู้อยู่อาศัย ทุกอย่างเราเตรียมเพื่อผู้อยู่อาศัย อย่างเรื่องของผู้สูงอายุ ก็มีการออกแบบห้องที่เน้นความปลอดภัย เรามีโรงพยาบาลอยู่ด้านหน้าโครงการ ที่ลงทุนโดยมูลนิธิเครือซีพี ที่จะรองรับการดูแลได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งตามข้อมูลหากภายใน 5 นาที สามารถได้รับการรักษาทันท่วงที ผู้ป่วยจะปลอดภัยและไม่เป็นอันตราย
"ผมทำมาหลายโครงการ และได้มีโอกาสเข้ามาทำโครงการนี้ ก็ภาคภูมิใจที่เราไม่แพ้ชาติใดในโลก แม้แต่ที่ปรึกษาในต่างประเทศ หรือกองทุนการลงทุนต่างๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นกับรูปแบบของโครงการมาก เราสร้างตามหลักวิชาการต่างๆ ที่เราทำมา ทำให้เมืองไทยก็มีโครงการเอาไว้คุยกับต่างประเทศได้"
ทั้งนี้ สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้น เรามองว่า อาจจะมีผลต่อจิตวิทยา แต่โครงการฟอเรสเทียส์ ไม่ได้เน้นนักเก็งกำไร เป็นโครงการที่สร้างเพื่อให้คนที่ต้องการมาอยู่กับเราจริงๆ ซึ่งด้วยศักยภาพของโซนบางนา ต้องบอกว่าวันนี้เติบโตมาก มีทั้งเรื่องรถไฟความเร็วสูง และที่ตั้งของโครงการอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ของระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเป็นระเบียงเศรษฐกิจที่เติบโตรวดเร็วที่สุดของประเทศไทย สามารถเข้าถึงทางด่วนและการคมนาคมขนส่งมวลชนที่สำคัญได้โดยง่าย ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยบ่งชี้ถึงโอกาสในอนาคตของโซนบางนาได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังมีระบบการป้องกันน้ำท่วมโดยเฉพาะ ประกอบด้วย พื้นที่กักเก็บน้ำทิ้งขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถรองรับน้ำได้มากกว่า 10 ล้านลิตร และสามารถป้องกันไม่ให้โครงการเกิดน้ำท่วมแม้ต้องเผชิญต่อพายุฝนครั้งใหญ่ก็ตาม
"เราทุ่มงบประมาณก้อนใหญ่กับการสร้างพื้นที่กักเก็บน้ำเหล่านี้ แทนที่จะปล่อยให้น้ำฝนไหลออกจากโครงการและระบายออกไปในพื้นที่อื่น ซึ่งนี่เป็นตัวอย่างของการทำให้ดีที่สุด ทั้งเพื่อโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ และเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนบ้านที่อยู่ในชุมชนโดยรอบ"
สำหรับองค์ประกอบส่วนหนึ่งในโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้แก่ คอนโดมิเนียมแบรนด์ ‘วิสซ์ดอม’ เน้นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ยังไม่พร้อมในการซื้อที่อยู่อาศัย แต่สามารถซื้อโครงการคอนโดมิเนียมได้ คอนโดมิเนียมแบรนด์ ‘มัลเบอร์รี่ โกรฟ’ ที่อยู่อาศัยแบรนด์ ‘มัลเบอร์รี โกรฟ วิลล่า’ ที่อยู่อาศัยแบรนด์ ‘ดิ แอสเพน ทรี’ ที่อยู่อาศัยแบรนด์ ‘ซิกซ์เซนส์’ โรงแรมแบรนด์ ‘ซิกซ์เซนส์’ และองค์ประกอบอื่นๆ