เผยทุนสิงคโปร์ แฟนพันธุ์แท้ “สิงห์” ตามซื้อห้องชุดทุกโครงการ ล่าสุด ดิวตรงขอซื้อบิ๊กล็อตโควตาห้องชุดเพื่อการลงทุน “ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ” ลักชัวรีคอนโดกลางเมือง สิงห์ฯแจง ติดนโยบายไม่อาจขายโควตาเพื่อลงทุนทั้งหมดได้ เหตุต้องการให้นักลงทุนไทยมีโอกาสในการลงทุนบ้าง
นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร การพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มีแผนจะเปิดขายโครงการ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ คอนโดมิเนียมลักชัวรี แบรนด์ใหม่ล่าสุด ในวันที่ 22-23 ก.พ.63 นี้ หลังจากมีการปรับแบบการก่อสร้างห้องชุดและเปลี่ยนมาใช้ชื่อแบรนด์ "ดิเอ็กซ์ โทร" จากเดิมที่จะเปิดตัวภายใต้แบรนด์ "ดิ เอส" แบรนด์คอนโดมิเนียมลักชัวรี และซูเปอร์ลักชัวรีระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ต้องเลื่อนการเปิดตัวโครงการ จากปี 62 มาเปิดตัว และขายในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปี 62 ที่ผ่านมา บริษัทได้มีการเปิดพรีบุ๊กกิ้งห้องชุด ซึ่งนำมาเปิด Pre Booking 6 ชั้น ให้แก่กลุ่มลูกค้านักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากกลุ่มนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยสามารถทำยอดขายไปได้ 82 ยูนิต โดยในจำนวนนี้ถูกซื้อโดยนักลงทุนคนไทย 40 ยูนิต และอีก 42 ยูนิต เป็นการซื้อจากกลุ่มนักลงทุนสิงคโปร์ เพื่อนำไปปล่อยขายในตลาดต่างประเทศ
"กลุ่มนักลงทุนสิงคโปร์ที่เข้าซื้อห้องชุดบิ๊กล็อตในครั้งนี้เป็นกลุ่มทุนเดิม ซึ่งติดตามซื้อห้องชุดในโครงการต่างๆ ของ สิงห์ฯ เพื่อนำไปปล่อยขายในต่างประเทศ"
ก่อนหน้านี้ กลุ่มทุนดังกล่าวได้ติดต่อขอซื้อแบบบิ๊กล็อตแบบยกฟลอร์ แต่เนื่องจากนโยบายการขายห้องชุดให้แก่กลุ่มนักลงทุนต่างชาติของสิงห์ฯ ซึ่งไม่ต้องการให้โควตาในการขายกลุ่มนักลงทุนทั้งหมดตกอยู่ในมือกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ เพื่อให้นักลงทุนคนไทยมีโอกาสได้ซื้อและลงทุนในโครงการอสังหาฯ ของสิงห์ ทำให้บริษัทมีการกันโควตาห้องชุดเพื่อการลงทุนไว้สำหรับนักลงทุนชาวไทยส่วนหนึ่ง ทำให้บริษัทต้องปฏิเสธการขายแบบล็อตใหญ่ให้แก่กลุ่มทุนดังกล่าว และเปลี่ยนมาขายในรูปแบบเดียวกับลูกค้านักลงทุนปกติ
สำหรับโครงการ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ เป็นโครงการคอนโดมิเนียม สูง 33 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 411 ยูนิต บนเนื้อที่พัฒนาโครงการ 2 ไร่เศษ มีมูลค่าขายรวม 4,000 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 5.99-20 ล้านบาท หรือมีราคาขายเฉลี่ยต่อ ตร.ม. 235,000 บาท ตั้งอยู่ติดกับสวนสันติภาพ ถนนรางน้ำ มีห้องชุด 3 ขนาดให้เลือก แบบ 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่เริ่มต้น 31.25 ถึง 35 ตารางเมตร (ตร.ม.) ขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่เริ่มต้น 48.25-71 ตร.ม. และห้องนอนแบบ duplex พื้นที่เริ่มต้น 82.5-111.75 ตร.ม.
นายณัฐวุฒิ กล่าวถึง ทิศทางตลาดอสังหาฯ ปี 63 ว่า ยังทรงตัวต่อจากปีที่แล้ว หลังจากได้รับปัจจัยบวกจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านตลาดอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการผ่อนปรนมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ (LTV) ซึ่งการผ่อนปรนมาตรการ LTV นี้ จะส่งผลดีต่อตลาด อสังหาริมทรัพย์ระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท และกลุ่มบ้านหลังที่ 2
โดยเฉพาะในส่วนของการลดข้อกำหนดด้านระยะเวลา จาก 3 ปีเหลือ 2 ปี จะส่งผลดีต่อการบริหารจัดการและวางแผนในการลงทุนของกลุ่มผู้ซื้อเพื่อการลงทุน เพราะในช่วง 2 ปี ตามข้อกำหนดมาตรการ LTV นักลงทุนสามารถผ่อนชำระเงินดาวน์ครบ ในขณะที่ระยะเวลาการก่อสร้างโครงการอาคารสูงโดยมากจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปี ทำให้หลังผ่อนดาวน์ครบ นักลงทุนก็สามารถรับโอนและ ซื้อห้องชุดในโครงการที่เปิดใหม่ได้ทันที
ส่วนปัญหาเงินบาทแข็งค่า แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของกลุ่มนักลงทุน และการตัดสินใจ เนื่องจากต้องใช้จำนวนเม็ดเงินสูงขึ้นในการซื้อห้องชุด แต่อย่างไรก็ตาม มาตรการลดค่าจดจำนองและค่าธรรมเนียมการโอน ได้เข้ามามีส่วนชดเชยในส่วนต่างที่เกิดขึ้นจากการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งส่งผลดีต่อตลาดซื้อเพื่อลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ
นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร การพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มีแผนจะเปิดขายโครงการ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ คอนโดมิเนียมลักชัวรี แบรนด์ใหม่ล่าสุด ในวันที่ 22-23 ก.พ.63 นี้ หลังจากมีการปรับแบบการก่อสร้างห้องชุดและเปลี่ยนมาใช้ชื่อแบรนด์ "ดิเอ็กซ์ โทร" จากเดิมที่จะเปิดตัวภายใต้แบรนด์ "ดิ เอส" แบรนด์คอนโดมิเนียมลักชัวรี และซูเปอร์ลักชัวรีระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ต้องเลื่อนการเปิดตัวโครงการ จากปี 62 มาเปิดตัว และขายในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปี 62 ที่ผ่านมา บริษัทได้มีการเปิดพรีบุ๊กกิ้งห้องชุด ซึ่งนำมาเปิด Pre Booking 6 ชั้น ให้แก่กลุ่มลูกค้านักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากกลุ่มนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยสามารถทำยอดขายไปได้ 82 ยูนิต โดยในจำนวนนี้ถูกซื้อโดยนักลงทุนคนไทย 40 ยูนิต และอีก 42 ยูนิต เป็นการซื้อจากกลุ่มนักลงทุนสิงคโปร์ เพื่อนำไปปล่อยขายในตลาดต่างประเทศ
"กลุ่มนักลงทุนสิงคโปร์ที่เข้าซื้อห้องชุดบิ๊กล็อตในครั้งนี้เป็นกลุ่มทุนเดิม ซึ่งติดตามซื้อห้องชุดในโครงการต่างๆ ของ สิงห์ฯ เพื่อนำไปปล่อยขายในต่างประเทศ"
ก่อนหน้านี้ กลุ่มทุนดังกล่าวได้ติดต่อขอซื้อแบบบิ๊กล็อตแบบยกฟลอร์ แต่เนื่องจากนโยบายการขายห้องชุดให้แก่กลุ่มนักลงทุนต่างชาติของสิงห์ฯ ซึ่งไม่ต้องการให้โควตาในการขายกลุ่มนักลงทุนทั้งหมดตกอยู่ในมือกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ เพื่อให้นักลงทุนคนไทยมีโอกาสได้ซื้อและลงทุนในโครงการอสังหาฯ ของสิงห์ ทำให้บริษัทมีการกันโควตาห้องชุดเพื่อการลงทุนไว้สำหรับนักลงทุนชาวไทยส่วนหนึ่ง ทำให้บริษัทต้องปฏิเสธการขายแบบล็อตใหญ่ให้แก่กลุ่มทุนดังกล่าว และเปลี่ยนมาขายในรูปแบบเดียวกับลูกค้านักลงทุนปกติ
สำหรับโครงการ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ เป็นโครงการคอนโดมิเนียม สูง 33 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 411 ยูนิต บนเนื้อที่พัฒนาโครงการ 2 ไร่เศษ มีมูลค่าขายรวม 4,000 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 5.99-20 ล้านบาท หรือมีราคาขายเฉลี่ยต่อ ตร.ม. 235,000 บาท ตั้งอยู่ติดกับสวนสันติภาพ ถนนรางน้ำ มีห้องชุด 3 ขนาดให้เลือก แบบ 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่เริ่มต้น 31.25 ถึง 35 ตารางเมตร (ตร.ม.) ขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่เริ่มต้น 48.25-71 ตร.ม. และห้องนอนแบบ duplex พื้นที่เริ่มต้น 82.5-111.75 ตร.ม.
นายณัฐวุฒิ กล่าวถึง ทิศทางตลาดอสังหาฯ ปี 63 ว่า ยังทรงตัวต่อจากปีที่แล้ว หลังจากได้รับปัจจัยบวกจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านตลาดอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการผ่อนปรนมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ (LTV) ซึ่งการผ่อนปรนมาตรการ LTV นี้ จะส่งผลดีต่อตลาด อสังหาริมทรัพย์ระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท และกลุ่มบ้านหลังที่ 2
โดยเฉพาะในส่วนของการลดข้อกำหนดด้านระยะเวลา จาก 3 ปีเหลือ 2 ปี จะส่งผลดีต่อการบริหารจัดการและวางแผนในการลงทุนของกลุ่มผู้ซื้อเพื่อการลงทุน เพราะในช่วง 2 ปี ตามข้อกำหนดมาตรการ LTV นักลงทุนสามารถผ่อนชำระเงินดาวน์ครบ ในขณะที่ระยะเวลาการก่อสร้างโครงการอาคารสูงโดยมากจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปี ทำให้หลังผ่อนดาวน์ครบ นักลงทุนก็สามารถรับโอนและ ซื้อห้องชุดในโครงการที่เปิดใหม่ได้ทันที
ส่วนปัญหาเงินบาทแข็งค่า แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของกลุ่มนักลงทุน และการตัดสินใจ เนื่องจากต้องใช้จำนวนเม็ดเงินสูงขึ้นในการซื้อห้องชุด แต่อย่างไรก็ตาม มาตรการลดค่าจดจำนองและค่าธรรมเนียมการโอน ได้เข้ามามีส่วนชดเชยในส่วนต่างที่เกิดขึ้นจากการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งส่งผลดีต่อตลาดซื้อเพื่อลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ