ซีไอเอ็มบีไทย คาดเงินบาทปลายปีเคลื่อนไหวประมาณ 29.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนเศรษฐกิจไทยปีนี้โตร้อยละ 2.7 ส่งออกในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐโตร้อยละ 2
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ประเมินเงินบาทยังมีความเสี่ยงที่จะแข็งค่าต่ำกว่า 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐค่อนข้างสูง โดยปลายปีนี้น่าจะเห็นเคลื่อนไหวอยู่ในระดับประมาณ 29.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากประเทศไทยยังเกินดุลการค้าต่างประเทศในระดับสูง ขณะที่ต่างชาติยังคงนำเงินเข้าประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง จึงมีความเสี่ยงเงินบาทแข็งค่าตามมา
สำหรับเศรษฐกิจไทยปีนี้ น่าจะขยายตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาในระดับร้อยละ 2.7 แต่ยังคงเป็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศต่อเนื่องมาจากปีที่ผ่านมา ปัจจัยความเสี่ยง คือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน แม้ว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น แต่สุดท้ายนักลงทุนยังรอปัจจัยที่จะเข้ามาช่วยสร้างความเชื่อมั่น ส่งผลให้การชะลอตัวทางเศรษฐกิจยังคงมีอยู่ แต่ดีกว่าปีที่ผ่านมา
ด้านการส่งออกปีนี้ น่าจะฟื้นตัวได้บ้าง โดยครึ่งแรกมีความเสี่ยงที่การส่งออกจะติดลบจากความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า แต่การส่งออกจะเริ่มเห็นภาพชัดเจนและมีทิศทางที่ดีขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง และตลอดปีนี้คาดว่าการส่งออกในรูปดอลลาร์สหรัฐจะขยายตัวร้อยละ 2.0 จากปีที่ผ่านมา สิ่งที่จะฟื้นตัวก่อนคือ สินค้าส่งออกกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เพราะวัฏจักรการฟื้นตัวเร็วกว่าสินค้ากลุ่มอื่นๆ ยานยนต์และชิ้นส่วนจะฟื้นตัวตามมา ส่วนสินค้าเกษตรคงมีปัญหาจากเงินบาทแข็งค่า ทำให้ความสามารถในการแข่งขันส่งออกลดลง
สำหรับปัจจัยที่เป็นความหวังช่วยเศรษฐกิจไทยปีนี้ คือ การท่องเที่ยว การบริโภคระดับกลางถึงระดับบนเชื่อว่ายังช่วยขับเคลื่อนได้อยู่ ภาพสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ทำให้นักลงทุนย้ายฐานการลงทุนเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น การลงทุนภาครัฐจะเริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้น หลังสภาผู้แทนราษฎรผ่านการพิจารณางบประมาณออกมาใช้จ่าย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีนี้
ด้านนโยบายการเงิน คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังคงใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับร้อยละ 1.25 ต่อปี และ ธปท.น่าจะพยายามดำเนินนโยบายกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงกว่าขณะนี้ แต่สิ่งสำคัญ คือ ยังคงมีเงินทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาในประเทศ ดังนั้น นักลงทุนจะต้องระมัดระวังจุดนี้ด้วย
นายอมรเทพ กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจกัมพูชาว่า เศรษฐกิจกัมพูชาเติบโตค่อนข้างดี ที่ผ่านมาเติบโตร้อยละ 6-7 โดยปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจกัมพูชาโตร้อยละ 7 แต่ปี 2563 คาดว่าเศรษฐกิจกัมพูชาจะชะลอลงบ้าง โดยอัตราการขยายตัวน่าจะอยู่ที่ร้อยละ 6.8 สิ่งที่น่าสนใจ คือ คนรายได้ระดับกลางเติบโตค่อนข้างเร็ว จึงเป็นโอกาสเข้ามาลงทุนของนักลงทุนไทย เพื่อผลิตสินค้าและบริการต่างๆ ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคกัมพูชาที่มีพฤติกรรมต้องการบริโภคสินค้าและบริการแบบเดียวกันกับที่คนไทยนิยม
ด้านการลงทุนของกัมพูชา ขณะนี้พบว่ามีการย้ายฐานการลงทุนของต่างชาติเข้ามาค่อนข้างมาก เพราะยังมีความได้เปรียบเรื่องค่าแรงต่ำ ด้านท่องเที่ยวต่างชาติก็เข้ามาท่องเที่ยวมากขึ้น การก่อสร้างก็เติบโตขึ้นมากโดยเฉพาะในเขตเมือง เพื่อรองรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการลงทุน ส่วนสินค้าเกษตรกัมพูชายังคงมีต้นทุนทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมากและยังคงอุดมสมบูรณ์ จึงเป็นแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม กัมพูชายังมีปัจจัยเสี่ยงด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ยังพัฒนาไม่มาก อีกทั้งยังมีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบต่างๆ ของภาคราชการ อีกปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงล่าสุดคือ ขณะนี้ทางสหภาพยุโรป (อียู) อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะตัดการให้สิทธิพิเศษทางภาษีกัมพูชาหรือไม่ หากมีการตัดสิทธิพิเศษทางภาษีกัมพูชาก็จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไปอียูได้