มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช เผยปี 62 มีเงินไหลเข้ากองทุนกว่า 2.1 แสนล้านบาท กองทุนต่างประเทศยังให้ผลตอบแทนเด่นกว่ากองทุนไทย แนะนักลงทุนติดตามความเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศที่ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงปี 63
นางสาวชญานี จึงมานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด ยอมรับปี 2562 การลงทุนในประเทศไม่สดใสจากเงินบาทที่แข็งค่าส่งผลกระทบต่อการส่งออก ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว สัญญาณสินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์ชะลอตัว และดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,579 จุด โดยผลตอบแทน SET TR ของปีอยู่ที่ 4.3%
ส่วนภาพรวมกองทุนรวมปี 2562 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 5.4 ล้านล้านบาท ปรับตัวขึ้นร้อยละ 6.6 จากสิ้นปี 2561 โดยมีเงินไหลเข้าสุทธิรวม 210,000 ล้านบาท เป็นการไหลเข้าในกองทุนรวมตราสารหนี้ 110,000 ล้านบาท และกองทุนรวมตราสารทุน 59,000 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 ประเภททรัพย์สินยังคงเป็นสัดส่วนหลักของตลาดกองทุนรวมไทย โดยปริมาณเงินไหลเข้าสุทธิรายกลุ่มยังคงเป็นกลุ่มใหญ่กลุ่มเดิม เช่น ตราสารหนี้ไทย กองทุนผสม และกองทุนหุ้นไทย ขณะที่เงินไหลออกสุทธิกองทุนตราสารตลาดเงิน 14,000 ล้านบาท และกองทุนน้ำมันและทองคำ 967 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่มกองทุนที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดในรอบปี 2562 ยังคงกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มกองทุนสินทรัพย์เสี่ยงสูงที่ลงทุนในต่างประเทศ โดยกองทุนที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุด 3 อันดับแรก คือ กลุ่มหุ้นเทคโนโลยี 26.8% รองลงมาคือ กลุ่มหุ้นยุโรป 26.3% และกลุ่มกองทุนน้ำมัน 23.7% ซึ่งกลุ่มกองทุนที่ลงทุนในประเทศ และติดอยู่ในอันดับผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดใน 20 อันดับแรก คือ กลุ่ม Property Indirect เช่นเดียวกับกองทุนรวมตราสารหนี้ที่กองทุนต่างประเทศส่วนใหญ่ยังให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่ากองทุนไทย นำโดยกลุ่ม Emerging Market Bond ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุด 9.9% รองลงมาคือกองทุนประเภท Term fund ซึ่งมีความเสี่ยงสูง คือ Global High Yield Bond 7.4% และ Global Bond ที่ 6.2% ขณะที่กลุ่มตราสารหนี้ระยะสั้นของไทยมีผลตอบแทนเฉลี่ย 2.5% และตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาวอยู่ที่ 3.5%
สำหรับกองทุน LTF แม้จะเป็นปีสุดท้ายที่ได้ประโยชน์ทางภาษี แต่ยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุน สะท้อนจากระดับเงินไหลเข้าสุทธิใกล้เคียงกับในอดีตและมีมูลค่าทรัพย์สินเติบโตขึ้นกว่า 400,000 ล้านบาท ขณะที่กองทุน RMF พบว่าได้รับความสนใจมากขึ้นต่อเนื่อง จากปริมาณเงินไหลเข้าเพิ่มขึ้นทุกปี โดยพบว่ามีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิมากกว่า 300,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์อาวุโสมอร์นิ่งสตาร์ฯ ระบุด้วยว่า ยังคงต้องติดตามปัจจัยลบทั้งในและต่างประเทศต่อเนื่องจากปีก่อน ทั้งภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ยังมีความไม่แน่นอน โดยแนะนักลงทุนจัดพอร์ตแบบกระจายความเสี่ยง พร้อมมองว่ากองทุนรวมยังเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว เพราะมีความเสี่ยงน้อย มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย และมีการบริหารกองทุนโดยมืออาชีพ
ทั้งนี้ กองทุนเปิดใหม่ปีที่ผ่านมามีทั้งสิ้น 633 กองทุน เป็นกองทุนตราสารหนี้ 442 กอง มีเงินไหลเข้าสุทธิ 690,000 ล้านบาท โดยกองทุนตราสารหนี้ประเภทกลุ่ม Foreign Investment Bond Fix Term มีกองทุนเปิดใหม่สูงสุด 361 กอง โดยมี บลจ.กสิกรไทยเปิดกองทุนกลุ่มนี้สูงสุด 112 กอง รวมเงินไหลเข้าสุทธิ 170,000 ล้านบาท กองทุนตราสารทุนเปิดใหม่ทั้งปีรวม 114 กอง มีเงินไหลเข้าสุทธิ 14,000 ล้านบาท หากไม่นับรวมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนที่มีเงินไหลเข้าสุทธิสูงสุดคือ กองทุน LTF จาก บลจ.ยูโอบี คือ UOB Long Trem Equity D ซึ่งเป็นกองทุน LTF เปิดใหม่กองสุดท้ายก่อนที่จะหมดสิทธิประโยชน์ทางภาษี