"ศักดิ์สยามลิสซิ่ง" ยื่นไฟลิ่งขาย IPO จำนวน 546 ล้านหุ้น เล็งเข้าจดทะเบียนใน SET โดยมี บล.ธนชาตเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เผยเตรียมใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนขยายสินเชื่อ คืนเงินกู้ และพัฒนาระบบ IT
บมจ.ศักดิ์สยามลิสซิ่ง ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 546 ล้านหุ้น และจะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยใช้เกณฑ์กำไร (Profit test) มี บล.ธนชาตเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นในครั้งนี้
วัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนเพื่อใช้ขยายการให้สินเชื่อและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ, ชำระคืนเงินกู้บางส่วนจากสถาบันการเงิน และใช้ในโครงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อปรับปรุงระบบให้บริการสินเชื่อประมาณ 32 ล้านบาท โดยคาดว่าจะใช้เงินในช่วงปี 63-64
ศักดิ์สยามลิสซิ่งประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อ ณ วันที่ 30 ก.ย. 62 บริษัทมีขนาดพอร์ตสินเชื่อรวมทั้งสิ้น 6,747.5 ล้านบาท สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ประกอบด้วยธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน และสินเชื่อส่วนบุคคลที่มิใช่สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน มีขนาดพอร์ตสินเชื่อเท่ากับ 5,916.3 ล้านบาท และ 374.5 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็น 87.7% และ 5.5% ของขนาดพอร์ตสินเชื่อรวมของบริษัท
ส่วนธุรกิจสินเชื่ออื่น ได้แก่ สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ และสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งขนาดพอร์ตสินเชื่อ ณ วันที่ 30 ก.ย. 62 เท่ากับ 451.9 ล้านบาท และ 4.7 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็น 6.7% และ 0.1% ของขนาดพอร์ตสินเชื่อรวมของบริษัทฯ
โครงการในอนาคต บริษัทมีโครงการขยายธุรกิจให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่ออื่น รวมทั้งใช้ขยายสาขาให้ครอบคลุมการให้บริการในพื้นที่ต่างๆ เพิ่มขึ้น โดยมีแผนขยายสาขาภายในปี 65 ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง นอกจากนั้นยังมีโครงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อปรับปรุงระบบการให้บริการสินเชื่อ ได้แก่ การพัฒนาและปรับปรุงเครือข่ายสำนักงานสาขา และสำนักงานใหญ่ โครงการข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) และโครงการปรับปรุงห้องเซิร์ฟเวอร์ เป็นต้น
ณ วันที่ 30 ก.ย. 62 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 1,550 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ 1,550 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้แล้ว บริษัทจะมีทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้วทั้งสิ้นไม่เกิน 2,096 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวนไม่เกิน 2,096 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท คือ กลุ่ม "บุญสาลี" ถือหุ้น 1,400 ล้านหุ้น คิดเป็น 90.3% หลังเสนอขายหุ้นในครั้งนี้จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 67.7% และบริษัท บัวหลวงเวนเจอร์ส จำกัด ถือหุ้น 150 ล้านหุ้น คิดเป็น 9.7% จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 7.3%
ผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี (ปี 59-61) บริษัทมีรายได้รวม 742.7 ล้านบาท, 928.5 ล้านบาท และ 1,256.6 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 25% และ 35.3% ในปี 60 และปี 61 ตามลำดับ โดยรายได้รวมของบริษัทประกอบด้วยรายได้ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม และรายได้อื่น
ในด้านกำไร บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 237.1 ล้านบาท 290.1 ล้านบาท และ 398.5 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเท่ากับ 22.4% ในปี 60 และ 37.4% ในปี 61 โดยบริษัทสามารถรักษาระดับอัตรากำไรสุทธิได้ที่ 31.2-31.9% ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยบริษัทมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ 29.7%, 26.5% และ 23.2% ตามลำดับ
ขณะที่งวด 9 เดือนแรกปี 62 บริษัทมีรายได้ 1,172.9 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 61 ที่มีรายได้ 906.7 ล้านบาท เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องมีสาเหตุหลักมาจากการขยายพอร์ตสินเชื่อจาก 2,511.4 ล้านบาท ณ สิ้นปี 59 เป็น 6,747.5 ล้านบาท ณ วันที่ 30 ก.ย. 62 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 43.2% ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่อจากฐานลูกค้าเดิม และฐานลูกค้าใหม่ โดยการขยายขอบเขตพื้นที่การประกอบธุรกิจด้วยการเปิดสาขาเพิ่มขึ้นจาก 193 สาขาในสิ้นปี 59 เป็น 441 สาขา ณ วันที่ 30 ก.ย. 62
บริษัทมีกำไรสุทธิ 264 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 22.5% ทั้งนี้ กำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิลดลง มาจากการบันทึกขาดทุนจากการปิดสัญญาจำนวน 143.3 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการเปลี่ยนสัญญาเงินให้สินเชื่อเพื่อให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยหากคำนวณกำไรสุทธิภายหลังปรับปรุงรายการพิเศษ (Normalized Profit) กำไรสุทธิจะเท่ากับ 379.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันในปี 61 ในอัตรา 35.3% สอดคล้องกับการเติบโตของรายได้ และคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 32.4% ซึ่งสูงกว่าอัตรากำไรสุทธิในช่วงปี 59-61 เล็กน้อย
ณ 30 ก.ย. 62 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 7,259.9 ล้านบาท หนี้สินรวม 4,260.9 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 2,999.0 ล้านบาท โดยมีรายได้รวม 1,172.9 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม 845.4 ล้านบาท กำไรสุทธิสำหรับงวด 264.0 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการ หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักสำรองตามกฎหมายของแต่ละปี โดยอัตราการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงไปจากที่กำหนดไว้