“อัลติจูด” ฟุ้งปี 62 สวนกระแสตลาดโต 300% กวาดยอดขาย 2,700 ล้านบาท ฉีกกฎการตลาดธุรกิจอสังหาฯ ทำตลาดคนรู้ใจ Personalize Marketing เน้นจับกลุ่ม Gen Me เชื่อทุกคนมีความต้องการของตนเอง มั่นใจมาถูกทางตั้งเป้าขึ้น Top 10 ภายใน 5-10 ปี
นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2562 นับเป็นปีแห่งโอกาสตลาดอสังหาริมทรัพย์กลายเป็นตลาดของผู้ซื้อ (Buyer Market) อย่างเต็มรูปแบบ ผู้ซื้อมีโอกาสเลือกได้เต็มที่ เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผู้ประกอบการรายใหญ่เลื่อนเปิดโครงการใหม่ หรือลดจำนวนเปิดโครงการใหม่ลง ส่วนผู้ประกอบการที่ยังไม่มีความพร้อมหรือไม่มีโครงการที่มีศักยภาพจริงๆ มีโอกาสการลงทุนยาก เนื่องจากสถาบันการเงินจะไม่ปล่อยสินเชื่อให้
สำหรับอัลติจูดในปี 2562 นี้ถือเป็นปีที่มีการเติบโตมาก โดยมียอดขายประมาณ 2,700 ล้านบาท หรือโต 300% จากปี 2561 ที่มียอดขาย 700-800 ล้านบาท โดยปีนี้บริษัทเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ ได้แก่ อัลติจูด พรูฟ สาทร และอัลติจูด ยูนิคอน มูลค่ารวม 2,721 ล้านบาท
“ ปีนี้เป็นปีที่คอนโดมิเนียมเปิดตัวน้อยกว่าปีที่แล้วกว่า 30% ขณะที่บ้านแนวราบและคอนโดฯ โครงการใหม่เปิดตัวลดลงจากปีที่แล้วกว่า 13% ถ้ามองในแง่โอกาส เราสามารถเปิดตัวโครงการใหม่ในปีที่ Supply ลดลงด้วยเงื่อนไขหลายๆ อย่าง หากดูที่ยอดขาย ปีนี้ยอดขายเราโตขึ้นกว่า 300% หรือมากกว่า 2,700 ล้านบาท จากปีก่อนแค่ 700-800 ล้านบาท ด้วยสภาวะตลาดในช่วงเวลานี้ที่อาจจะมีโครงการเปิดใหม่ให้เลือกน้อย และอาจจะมีของเหลือขายในตลาดพอสมควร แต่โครงการเรามีการพัฒนารูปแบบ และอยู่ในทำเลที่ดี พร้อมกับสื่อสารตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง” นายชยพล กล่าว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการแข่งขันของตลาดอสังหาฯ ในปีต่อไปจะสูงขึ้นเรื่อยๆ หากแบ่งสัดส่วนเป็นแบบพีระมิด 30% แรกอาจจะเป็นของขายดี ลงอีกมา 40% จะค่อยๆ ขายไปตามสภาวะตลาด และกลุ่มสุดท้าย 30% จะขายยากมากต้องลดราคาอย่างเดียวจึงจะขายได้ และยังมีโครงการใหม่เปิดตัวออกมาอีก ทำให้ผู้ประกอบการพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ การออกแบบใหม่ๆ ที่ดีขึ้นอีก เพราะนี่คือตลาดของผู้ซื้อ ผู้ซื้อจะต้องเปรียบเทียบก่อนซื้อทุกครั้งและจะเลือกสิ่งที่ใช่สำหรับตัวเองมากที่สุด แต่คำว่าใช่และดีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ปัจจุบันคนที่ซื้อบ้านหลังแรกหรือนักลงทุนในยุคใหม่มีความเป็น “ตัวตน” ค่อนข้างสูง มีความชอบในการใช้ชีวิตที่ชัดเจนและกล้าที่จะจ่ายเงินเพื่อสิ่งที่ตัวเองชอบได้ ฉะนั้นการแข่งขันในการพัฒนาสินค้าก็จะมากขึ้น ผู้ประกอบการที่จะเติบโตไปได้จึงต้องมีความสามารถในการพัฒนาสินค้าที่ดี
“ในปีนี้บริษัทมียอดขายเยอะที่สุดเท่าที่เปิดมาซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้เมื่อย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ถือว่าบริษัทมาไกลกว่าที่คิดไว้ พอมาถึงตอนนี้อีก 5-10 ปีข้างหน้า เราก็อยากลุ้นเป็น Top 10 ของประเทศ ปีนี้ยอดขายของเราน่าจะอยู่ในระดับ Top-20 ด้วยตัวเลข 2,700 ล้านบาท” นายชยพล กล่าว
ด้าน นายขวัญชัย ยิ่งเจริญถาวรชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า ในภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์โดนข่าวร้ายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง LTV เศรษฐกิจภาพรวม อีกทั้งเรื่องการเลื่อนเปิดโครงการของผู้พัฒนารายใหญ่ แต่โอกาสที่เกิดขึ้นคือ เมื่อรายใหญ่เลื่อนเปิดก็ทำให้บริษัทได้รับโอกาสมากขึ้น การที่บริษัทเติบโตได้ เพราะสินค้าที่พัฒนาออกมาได้ตรงใจกับลูกค้า โดยคิดลึกไปถึงการออกแบบสินค้าด้วยหลัก Personalize Marketing แปลว่า การตลาดแบบรู้ใจ คือเรารู้ใจว่าวันนี้ลูกค้าเป็นคนแบบนี้และกำลังคิดอะไรอยู่ แล้วเราก็ลงรายละเอียดไปยังความสนใจของเขา ไม่ได้จับกลุ่มลูกค้าแค่ว่า ลูกค้าอายุเท่าไหร่ ทำงานที่ไหน เป็นเพศอะไร แบบนั้นเป็นแค่การจับกลุ่ม Segmentation
“เราจับกลุ่มจาก Sub-culture ที่ย่อยลงไปในสิ่งที่ลูกค้าเป็น ยกตัวอย่างเช่น เราจับกลุ่ม E-sport เพราะเรามองว่าไม่ใช่แค่เกมอีกต่อไปแล้ว เด็กที่เล่นเกมมีความรู้สึกว่าสิ่งนั้นเป็นมากกว่าเกมไปแล้ว มันกลายเป็นกีฬาที่คนยอมรับกันแล้ว พ่อแม่เองจะห้ามลูกไม่ให้เล่นเกมยังทำไม่ได้เลย เพราะนี่คือตัวตนของเขา มันเป็นความสนใจของเขา เราจึงนำจุดนี้มาใส่โครงการของเรา เรายังจับความสนใจของกลุ่มที่ชอบ Hangout และนำมาใส่ในพื้นที่ส่วนกลางของเราเช่นกัน เราพัฒนาสินค้าและสื่อสารให้ Personalize มากขึ้น
อีกจุดเด่นของบริษัทคือ เข้าใจความสนใจของลูกค้าได้ดี และสามารถสร้าง “Rare item” ออกมาได้ หลายๆ โครงการของบริษัทสามารถเรียกได้ว่าเป็น “ของหายาก” ในตลาดอสังหาฯ เช่น มีโฮมออฟฟิศบนถนนสาทร ใกล้บีทีเอส สุรศักดิ์ แค่ 150 เมตร ซึ่งโครงการแบบนี้ไม่มีใครทำได้ มีบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีห่างจากบีทีเอสแค่ 550 เมตร เรามีคอนโดฯ ที่เราใส่ส่วนกลางมากเกินกว่าที่ลูกค้าคาดเอาไว้ และโครงการที่เราจะออกในปีหน้า เราก็จะมีเซอร์ไพรส์ให้ลูกค้าอีกเยอะเช่นกัน นี่คือจุดเด่นทางการตลาดของเรา” นายขวัญชัย กล่าว
สำหรับกลุ่มเป้าหมายของบริษัท คือ Gen Me ซึ่งต่างจาก Gen X, Gen Y, Gen Z ที่แบ่งตามอายุ ซึ่งบริษัทเชื่อว่าทุกๆ คนมีความต้องการของตัวเอง ซึ่งเรียกว่า Generation Me ฉะนั้นการตลาดของของบริษัท รวมถึงการออกแบบสินค้าต้องจับกลุ่ม Gen Me ให้ได้ วันนี้ใครหา Gen Me เจอและสร้างตลาดเฉพาะของตัวเองขึ้นมาได้ก็จะสร้างสินค้าออกมาได้ ซึ่งในแต่ละโครงการยังมุ่งเน้นถึงการสร้างชุมชนที่ชัดเจนในความเป็น Gen Me คือตอบโจทย์ชีวิตของลูกค้า ทั้งในเรื่องไลฟ์สไตล์ การหารายได้ และเรื่องสังคม เช่น โครงการ อัลติจูด ยูนิคอร์น ไม่ได้สร้าง Co-working Space แค่เพราะให้มันมี แต่ยังมองถึงคนค้าขายออนไลน์ คนที่เป็นฟรีแลนซ์ สามารถมาใช้พื้นที่ในโครงการได้เลย ไม่ต้องไปเสียเงินข้างนอก อาจจะไม่ตอบโจทย์ทุกคนในตึก แต่ตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ได้ อีกทั้งคนกลุ่มนี้ก็โตมาพร้อมกับการเล่นเกมและ E-sport ซึ่งมันก็สอดคล้องกัน
“เราอยากเห็นในตึกหนึ่งตึกมีปาร์ตี้ประจำเดือนที่คนในตึกจะออกมาสนุกกัน แลกเปลี่ยนความสนใจกัน และกลายเป็นเพื่อนใหม่ กลายเป็นคู่ชีวิต เป็นหุ้นส่วนธุรกิจ เราเรียกสิ่งนี้ว่า Inspiration of Living ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เกิดจากความเข้าใจลูกค้า เรามุ่งจะสร้างแรงบันดาลใจให้ลูกค้าได้ในสิ่งที่เขาต้องการเมื่ออยู่ในโครงการของเรา ด้วยทุกรายละเอียดที่สร้างมาเพื่อเอื้อให้ลูกค้าเราได้มีสังคมที่เขาต้องการ” นายขวัญชัย กล่าว