KTBST ประเมินเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 2563 ที่ 1,725 จุด รับผลบวกจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีนที่น่าจะคลี่คลาย ให้น้ำหนักเน้นหุ้นสหรัฐ-ยุโรป กองรีท พร้อมปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ตั้ง KTBST Holding เพื่อขยายธุรกิจมุ่งเป้าเป็นสถาบันการเงินที่ครบวงจรของประเทศ พร้อมนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯในปี 2563
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST SEC กล่าวว่าทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี 2563 จะฟื้นตัวตั้งแต่ครึ่งปีแรกเป็นต้นไป เนื่องจากรับปัจจัยบวกที่สหรัฐและจีนจะบรรลุข้อตกลงการค้าได้บางส่วน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นในไตรมาสที่ 2 อีกทั้งธนาคารกลางทั่วโลก จะดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ส่วนประเทศไทยการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยและกำไรบริษัทจดทะเบียนฟื้นตัวได้ในครั้งปีหลัง โดยให้เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 2563 ที่ 1,725 จุด หรืออาจจะถึง 1,800 จุด หากข้อตกลงการค้าสหรัฐ-จีนจบลงได้ดีกว่าที่คาด และการเมืองในประเทศสงบด้วยดี ส่วนกรอบการเคลื่อนไหว ต่ำสุด-สูงสุด ของดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 1,588-1,787 จุด ส่วนประมาณการกำไรปี 2563 อยู่ที่ 980,000 ล้านบาท ขยายตัว 8.2% โดยมีค่า EPS เฉลี่ยอยู่ที่ 94.8 บาท และปี 2564 คาดกำไรอยู่ที่ 1.08 ล้านล้านบาท ขยายตัว 10.5% และคิดเป็น EPS เฉลี่ยที่ระดับ 103.6 บาท ทั้งสองปีจะเป็นการขยายตัวมาจากฐานที่ต่ำและผลกระทบจากสงครามการค้าที่คลี่คลายลง
สำหรับหุ้นเด่นในปี 2563 ที่คาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุนได้ดีในปี 2563 และในไตรมาสที่ 1 ได้แก่ 1.) กลุ่มที่ผลการดำเนินงานยังเติบโตดีต่อเนื่อง อาทิ กลุ่มสัมปทานภาครัฐ สินเชื่อรายย่อย หรือหุ้นที่มีการลงทุนใหม่ ๆ ได้แก่ BCH, CBG, GUNKUL, PRM, SPALI, BGC, MTC, SAWAD, OSP , BDMS, และ JMT 2.) กลุ่มที่ราคาหุ้นหรือผลประกอบการอ่อนตัวลงมามากในปี 2019 อาทิ น้ำมัน , ปิโตรเคมี , ส่งออก , โรงแรม เช่น ERW, BCP, CPF, TKN , IRPC, PTTEP และ HANA ขณะที่กลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้า เช่น GULF, BGRIM, GPSC คาดว่าปีทองได้ผ่านไปตั้งแต่ปี 2562 แล้ว
นายชาตรี โรจนอาภา กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ KTBST SEC เปิดเผยว่า ในปี 2563 คาดว่าภาพการลงทุนมีความผันผวนที่ต่ำลงจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1. การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2020 ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในอดีตพบว่าในช่วงการเลือกตั้งจะเกิด “Election rally” คือ ตลาดหุ้นทั่วโลกให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาจะให้ผลตอบแทนในช่วงปีที่มีการเลือกตั้งมากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลก 2. รูปแบบการกระตุ้นเศรษฐกิจเปลี่ยนจากนโยบายทางการเงิน มาสู่นโยบายทางการคลังในการป้องกันการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยเฉพาะการลดภาษีนิติบุคคล ซึ่งจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี 3. สถานการณ์สงครามการค้าเบนเข็มสู่ยุโรป หากนายโดนัลด์ ทรัมป์สามารถชนะการเลือกตั้งได้ จะหันกลับมาทำสงครามทางการค้ากับยุโรปเพื่อชดเชยการขาดดุลทางการค้า
ด้านมุมมองดอกเบี้ยคาดว่าปีหน้าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจมีการลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เศรษฐกิจ เช่นเดียวกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการปรับลดลงอีกครั้งให้สอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยโลก โดยยังให้คำแนะนำเน้นลงทุนในตราสารทุนมากกว่าตราสารหนี้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปมากกว่าตลาดกำลังพัฒนา เนื่องจากคาดว่ามีโอกาสนำเครื่องมือการคลังมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจตลอดจนเสถียรภาพทางการเมืองที่มั่นคง รวมทั้งพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดสามารถสร้างผลประกอบการได้ดีกว่ากลุ่มตลาดเกิดใหม่ สำหรับสินทรัพย์ทางเลือกที่น่าสนใจ ได้แก่ กองทุนอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานจากอัตราเงินปันผลที่สูง ประกอบกับเงื่อนไขของกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ที่จะเริ่มต้นในปีหน้าเปิดให้ลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้อย่างเสรีจึงเป็นโอกาสให้กองทุนเพื่อการออมลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KTBST SEC) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานตั้งแต่ ม.ค.-พ.ย. 2562 อยู่ที่ 1,092 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 44 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้หลักมาจาก 2 ส่วน คือ ค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และอนุพันธ์42% และค่าธรรมเนียมจากธุรกิจบริการอื่น ๆ 38% ขณะที่รายได้กลุ่มบริษัท KTBST 1,104 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 30 ล้านบาท โดยบริษัทคาดว่าในปี 2563 จะมีรายได้ 1,400 ล้านบาท กำไรสุทธิ 101.55 ล้านบาท หรือเติบโต 26.3 % โดยในปีหน้า บริษัทในเครือ คือ บริษัท เคทีบีเอสที รีท แมเนจเมนท์ (KTBST REIT) เดินหน้าจัดตั้งกองรีท 2 กองทุน มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท มีทั้งสินทรัพย์ที่เป็นกลุ่มโกดังสินค้าหรือโรงงาน , โรงแรมที่พักและสำนักงานกับพื้นที่ค้าปลีก และตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ในปี 2563 เป็น 10,000 ล้านบาท จากแนวโน้มของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIT ที่ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุน ขณะเดียวกันจะมีการจัดตั้งบริษัท เคทีบีเอสที โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)” (KTBST Holding) ขึ้น เพื่อขยายธุรกิจ ให้ KTBST Holding เป็นสถาบันการเงินครบวงจรมากยิ่งขึ้น โดยจะมีการจัดตั้งบริษัท KTBST Lend บริษัทปล่อยสินเชื่อในลักษณะคลินิกแก้หนี้ให้กับองค์กร และพนักงาน เพื่อนำไปแก้หนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง พร้อมทั้งให้คำปรึกษา และแนะนำการลงทุนเพื่อลดหนี้เพิ่มการออม พร้อมกันนี้จะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯในปี 2563 ด้วย