xs
xsm
sm
md
lg

BAFS เร่งสรุปพันธมิตรลุย ตปท.-ตั้งเป้ารายได้ปี 63 โต 7%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS) เตรียมจับมือพันธมิตรประมูลงานให้บริการเติมน้ำมันในสนามบินต่างประเทศ ขณะที่คาดรายได้ปี 63 โต 7% ลุ้นปริมาณเติมน้ำมันอากาศยานโต 4% มั่นใจเที่ยวบินเพิ่มขึ้น และมีแผนจะใช้เงินลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาทออกและเสนอขายหุ้นกู้วงเงิน 1,500 ล้านบาท แย้มจับมือพันธมิตรลุยซื้อโรงไฟฟ้า คาดสรุปดีลไม่เกิน Q2/63 พร้อมทุ่มงบลงทุน

ม.ล.ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS เปิดเผยว่า บริษัทมีความจำเป็นที่จะต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ให้เติบโตแบบยั่งยืน ด้วยการขยายธุรกิจไปยังสนามบินที่มีศักยภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งในต่างประเทศจะมีแนวทางการประมูลร่วมกับพันธมิตร

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น การขยายไลน์การผลิตรถเติมน้ำมันและรถสนับสนุนภาคพื้นดินภายในสนามบินที่ขับเคลื่อนโดยพลังงานไฟฟ้า รวมทั้งอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อเข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตรลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน เช่น โรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ พลังงานลม โดยคาดจะมีความชัดเจนไม่เกินไตรมาส 2/63

"เรายังคงอยู่ระหว่างรอผลการประมูลโครงการระบบบริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานที่สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งเบื้องต้นบริษัทได้ผ่านขั้นตอนของการพิจารณาคุณสมบัติแล้ว ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างการศึกษาลงทุนขยายท่อขนส่งน้ำมันเส้นทางแม่สอด-เมาะละแหม่ง หรือเมาะลำไย ซึ่งเป็นเส้นทางเชื่อมต่อท่อขนส่งน้ำมันเข้าไปในประเทศพม่า" หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์กล่าว

ทั้งนี้ ในปี 2563 บริษัทยังมีแผนจะใช้เงินลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะใช้ลงทุนโครงการระบบบริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานที่สนามบินอู่ตะเภาหากได้รับการคัดเลือก โดยมีแผนจะออกและเสนอขายหุ้นกู้วงเงิน 1,500 ล้านบาทในช่วงต้นปี 2563

ด้านนางสาวประพิศน์ ฤทัยรุ้ง ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี BAFS กล่าวว่า บริษัทคาดว่ารายได้ปี 2563 จะเติบโต 7% ซึ่งเป็นผลจากปริมาณเติมน้ำมันอากาศยานจะเติบโต 4% ประกอบกับปริมาณให้บริการท่อส่งน้ำมันที่ภาคเหนือจะเติบโต 6% หลังจากที่จะเปิดให้บริการเฟส 2 ที่ช่วงกลางปี 2563

สำหรับกรณีที่บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปรับลดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ของบริษัทเป็น 'A(tha)' จาก 'A+(tha)' เพราะบริษัทมีอัตราหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงาน (FFO -adjusted net leverage) ที่เพิ่มขึ้นแตะระดับ 3.5 เท่าในปี 62 และจะขยับเพิ่มเป็น 4.5 เท่า ในปี 2563 โดยเป็นผลจากการลงทุนในโครงการท่อขนส่งน้ำมันที่ภาคเหนือที่ยังไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดกลับมาให้แก่บริษัท เพราะโครงการเฟส 1 ได้เริ่มดำเนินการในช่วงกลางปี 2562 และเฟสที่ 2 จะเลื่อนการเปิดใช้ออกไปในช่วงกลางปี 2563 จึงส่งผลให้มีกระแสเงินสดเข้ามาช้าเมื่อเทียบกับหนี้สินที่มีอยู่

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้วางแผนงานการลงทุนเพื่อเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่เปิดดำเนินการแล้ว ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ตอบแทนกลับคืนมาได้แบบทันที อีกทั้งเมื่อท่อส่งน้ำมันเฟส 2 แล้วเสร็จจะเริ่มให้บริการ ดังนั้นจะช่วยสร้างกระแสเงินสดให้กลับมา


กำลังโหลดความคิดเห็น