SBITO พลิกแนวคิด เปิดกลยุทธ์ใหม่สอดรับนโยบาย ธปท.เปิดให้นักลงทุนรายย่อยสามารถออกไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้เอง เพิ่มโอกาสนักลงทุน มุ่งสู่การเป็นแพลตฟอร์มการลงทุนที่ตอบโจทย์นักลงทุนยุคดิจิทัล ย้ำจุดยืนส่งเสริมนักลงทุนให้รู้จักการลงทุนที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล และมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์การลงทุนที่ดีที่สุดให้แก่นักลงทุน ด้าน CEO “ยูกิโกะ โรเบิร์ตส์” เผยบริษัทฯ เปิดโอกาสความร่วมมือทางด้านธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีแผนที่จะเปิดให้บริการใหม่ ซึ่งสอดรับกับการปรับเกณฑ์ล่าสุดของ ธปท.ในการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย
นางยูกิโกะ โรเบิร์ตส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด หรือ SBITO ผู้ให้บริการธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์แบบออนไลน์ชั้นนำของไทย (บริษัทสมาชิกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลำดับที่ 33) เปิดเผยว่า 5 ปีที่บริษัทฯ เปิดดำเนินธุรกิจให้บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์แบบออนไลน์อย่างแท้จริงเป็นรายแรกของประเทศไทย ทำให้นักลงทุนได้รับความสะดวกสบายจากบริการของบริษัทฯ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นที่สามารถเปิดแบบออนไลน์ได้ทั้งหมด โดยบริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank) รายแรกที่เปิดให้บริการนี้ หรือด้านการโอนเงินให้กับลูกค้า ซึ่งบริษัทฯ สามารถทำได้ทันที ในขณะที่โดยทั่วไปอาจใช้เวลาเป็นวัน รวมถึงบริการซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ ที่สะดวก รวดเร็ว ทันสมัย นักลงทุนสามารถลงทุนได้ทุกที่ทุกเวลา ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของนักลงทุนยุคดิจิทัลเป็นอย่างดี
นอกจากบริการดังกล่าว นักลงทุนที่เป็นลูกค้าของบริษัทฯ ยังสามารถใช้เครื่องมือด้านการลงทุนที่ครบครันนอกเหนือจากเครื่องมือแบบพื้นฐานอย่าง Streaming ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายแล้ว บริษัทฯ ยังมี SBITrade AI เครื่องมือช่วยค้นหาโอกาสการลงทุนในหุ้นคุณภาพ โดย SBITrade AI จะทำการวิเคราะห์หุ้นทุกตัวทั้งตลาดอย่างละเอียด จากข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี ในทุกๆ วันโดยอัตโนมัติ และนำเสนอหุ้นที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไรในการบริหาร Portfolio ให้กับลูกค้าด้วยระบบ AI (Artificial Intelligence) และ Data Mining ที่ออกแบบมาด้วยความเข้าใจจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ ซึ่ง SBITrade AI นั้นได้ทำการทดสอบจากข้อมูลการลงทุนย้อนหลังถึง 10 ปี สามารถสร้างผลกำไรเฉลี่ย +33% ต่อปี โดยเครื่องมือดังกล่าวสามารถวิเคราะห์ได้ทั้งแบบเชิงปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) ช่วยวิเคราะห์งบดุลของบริษัทจดทะเบียนและข่าวที่เกิดขึ้นกับบริษัทจดทะเบียนได้ รวมไปถึงครอบคลุมการวิเคราะห์เชิงเทคนิค (Technical Analysis) สามารถดูกราฟย้อนหลังได้ 10 ปี ทั้งนี้ SBITrade AI จะแปลงข้อมูลออกมาเป็น Fundamental Score และ Technical Score ซึ่งเป็นคะแนนเชิงคุณภาพของหุ้น และจะแสดงผลการตรวจสุขภาพทางการเงินและประสิทธิภาพการทำกำไรอย่างละเอียดของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกด้วย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด หรือ SBITO กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากจะให้การสนับสนุนด้านเครื่องมือเทคโนโลยี AI ที่ทันสมัยแก่นักลงทุนไทยแล้ว บริษัทฯ ยังเล็งเห็นความสำคัญของเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์ ประเภทยาง ที่ปัจจุบันนี้การซื้อขายค่อนข้างซบเซา แม้ว่ายางนั้นเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย แต่การซื้อขายสินค้ายางล่วงหน้านี้กลับไปอยู่ที่ตลาดโตคอม (TOCOM) ประเทศญี่ปุ่น และล่าสุดก็มีการเปิดตลาดซื้อขายยางล่วงหน้าที่ประเทศจีน บริษัทฯ จึงเตรียมแผนนำแพลตฟอร์มซื้อขายด้านสินค้าโภคภัณฑ์ที่เร็วที่สุดในโลก และเชื่อถือได้ เป็นที่ยอมรับทั่วโลก มาใช้ที่ประเทศไทย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนไทย”
ในด้านการแข่งขันของธุรกิจหลักทรัพย์นั้น นางยูกิโกะมองว่ามีการแข่งขันค่อนข้างสูงมาก จะเห็นได้ว่าหลายๆ บริษัทพยายามที่จะลดราคาค่าธรรมเนียมลง นำเสนอบริการด้วยเครื่องมือต่างๆ ให้แก่นักลงทุน ในขณะที่บริษัทฯ นั้นมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำอยู่แล้ว แต่สิ่งที่บริษัทฯ มีความโดดเด่นคือ การสนับสนุนจากบริษัท SBI Group อันเป็นบริษัทแม่ของ SBITO ที่ปัจจุบันคือโบรกเกอร์ออนไลน์อันดับหนึ่งจากประเทศญี่ปุ่น และมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนใหม่ๆ รวมทั้งความร่วมมือกับบริษัทด้านฟินเทค (FinTech) หรือกลุ่มธุรกิจที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเข้ามาทำให้การบริการที่เกี่ยวข้องกับการเงินและการลงทุนในต่างประเทศที่ SBI Group ได้ลงทุนและมีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสูง มีความสามารถที่จะให้บริการด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ตอบโจทย์การลงทุนในทุกๆ ด้าน ยกตัวอย่างเช่น การส่งคำสั่งซื้อด้วยเสียงสำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางสายตา อีกทั้งบริษัทฯ ยังพร้อมที่จะสร้างพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ใน 3 ด้านหลัก คือ ด้านการเงิน ด้านไลฟ์สไตล์ และด้านดิจิทัล เพื่อสร้างระบบนิเวศการลงทุน (Investment Ecosystem) ที่ตอบโจทย์ทุกๆ ด้านของการเป็นแพลตฟอร์มการลงทุนยุคดิจิทัลที่ไม่ได้ให้แค่ผลกำไร แต่ต้องครอบคลุมทุกด้านในการใช้ชีวิตของลูกค้า เกิดฟันเฟืองในการลงทุนที่สามารถสร้างความยั่งยืนในด้านการลงทุนให้กับสังคมดิจิทัลในประเทศไทย
ล่าสุดบริษัทฯ ได้มีความร่วมมือกับ TrueYou ในการมอบสิทธิประโยชน์ให้แก่ลูกค้าของทรู และลูกค้าของบริษัทฯ รวมถึงเป็นการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย โดยความร่วมมือที่เกิดขึ้นนี้บริษัทมองว่าเป็นผลดีต่อลูกค้าของทั้งสองฝ่าย และยังเป็นการสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทอีกด้วย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับบริษัทใดก็ตาม SBITO ยังเปิดโอกาสทางธุรกิจนี้เสมอ เพราะการร่วมมือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้แก่ทั้งสองฝ่ายเช่นกัน
สำหรับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจของบริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด หรือ SBITO นั้น ยังคงมุ่งมั่นที่จะเติบโตไปกับสังคมยุคดิจิทัลของประเทศไทย โดยจะยังคงเป็นโบรกเกอร์ออนไลน์อันดับหนึ่งที่นักลงทุนไทยชื่นชอบ พร้อมเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) สร้างสังคมการลงทุนดิจิทัลตั้งแต่นักลงทุน ระบบเครื่องมือสนับสนุนในการลงทุน เทคโนโลยีสนับสนุนการบริการด้านการลงทุน เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตแบบยั่งยืน
ในเร็วๆ นี้บริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดให้บริการใหม่ ซึ่งสอดรับกับการปรับเกณฑ์ล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เอื้อด้านเงินทุนไหลออกและลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาท ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศของนักลงทุนรายย่อยให้ลงทุนเองได้ โดยเพิ่มวงเงินรวมสำหรับการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศที่จัดสรรให้นักลงทุนภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็น 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพื่อรองรับการออกไปลงทุนในต่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศมีความสะดวกมากขึ้น
“บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าด้วยการลงทุนในยุคดิจิทัล บริษัทฯ สามารถมอบประสบการณ์ด้านการลงทุนแบบไร้รอยต่อ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของนักลงทุนยุคดิจิทัลที่มีความต้องการแตกต่างกันได้ครบถ้วน พร้อมเทคโนโลยีที่จะมาช่วยสนับสนุนด้านการลงทุนแก่นักลงทุน ซึ่งเป็นรากฐานของสังคมการลงทุนยุคดิจิทัล รวมถึงเทคโนโลยีระดับโลกต่างๆ ที่บริษัทฯ สามารถเข้าถึง นำมาประยุกต์กับการซื้อขายผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนต่างๆ ในประเทศไทย ช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน” นางยูกิโกะกล่าว