ช่วงไตรมาส 4 ของทุกปีถือว่าเป็นเทศกาลของการเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่อย่างคึกคักไม่แพ้อุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งในหลายๆ แบรนด์เห็นจะไม่พ้นไอโฟน ปีนี้การเปิดตัว iPhone11 ทั้ง 3 รุ่น จึงถือเป็นตัวกระตุ้นยอดขายของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งที่เป็นตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือยี่ห้อนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
บล.เคจีไอ ประเมินว่า จากการที่แนวโน้มธุรกิจ Smartphone รุ่นใหม่ราคาถูกลง ดังจะเห็นได้จากในช่วง keynote presentation ที่ทาง Apple Inc ประกาศเปิดตัว iPhone ใหม่ 3 รุ่น ซึ่งมีกำหนดวางจำหน่ายในไตรมาส 4 ปีนี้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น 5G มาใช้ แต่ในแง่ของราคาเครื่องรุ่นใหม่นี้จะตํ่าลงจากรุ่นก่อนหน้าที่ออกจําหน่ายเมื่อปีก่อน 9-17% พบว่าแนวโน้มราคานี้เป็นไปในทิศทางเดียวกับโทรศัพท์ smartphone ยี่ห้ออื่นๆ ในเอเชีย ซึ่งรวมถึง Huawei และ Oppo ด้วย ซึ่งมองว่ากลยุทธ์ด้านราคาของ smartphone รุ่นใหม่จะส่งผลต่ออุปสงค์ใน 2 ด้านด้วยกัน
ด้านแรก smartphone ที่มีคุณสมบัติใหม่ล่าสุดแต่ซื้อหาได้ในราคาที่ถูกลง น่าจะส่งผลทางด้านจิตวิทยาต่อผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มนิยมเทคโนโลยีที่ยังเลื่อนการตัดสินใจซื้อ smartphone รุ่นใหม่ออกไปก่อนเนื่องจากราคาที่สูง นอกจากนี้ยังคาดว่าผู้ผลิต smartphone จะลดราคาขายเฉลี่ย (ASP) ของเครื่องรุ่นเก่ากว่าลง ซึ่งจะช่วยตอบสนองอุปสงค์ของผู้บริโภคกลุ่มที่อ่อนไหวด้านราคามากกว่ากลุ่มแรก
จากการรวบรวมข้อมูลของ International Data Corporation (IDC) ซึ่งเป็นองค์กรที่รวบรวมข้อมูลการตลาดระดับโลกรายงานว่า ยอดส่งออก smartphone ของทั้งโลกลดลง 2.4% YoY เหลือ 333 ล้านเครื่องในไตรมาส 2/62 โดยยอดส่งออก iPhone ลดลง 18.2% YoY สวนทางกับยอดขายเครื่อง smartphone ของ Huawei ที่เพิ่มขึ้น 8.3% ซึ่งเป็นผลจากการตั้งราคาไว้ในระดับ premium ของเครื่อง iPhone รุ่นใหม่ๆ อย่าง iPhone XR, iPhone XS และ iPhone XS Max
COM7 ยอดขายพุ่ง ปรับประมาณการกำไรเพิ่ม
ทั้งนี้ แม้ว่ายอดขายของ COM7 จะเป็นไปตามแนวโน้มโลก โดยยอดขาย smartphone รุ่นราคาสูงชะลอตัวลง แต่บริษัทยังจํากัด downside เอาไว้ได้ด้วยการกระตุ้นยอดขาย iPhone รุ่นเก่าๆ (ซึ่งเรียกว่า N-model) ทำให้คาดว่าแนวโน้มนี้จะต่อเนื่องไปในครึ่งหลังของปี 2562
ปรับประมาณการกําไรเพื่อสะท้อนรายได้จากยอดขายมือถือที่เพิ่มขึ้น โดยปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2562-64 ขึ้น 2.2-3.9% เพื่อสะท้อนแนวโน้มรายได้ที่เพิมขึ้น ในขณะที่จะยังคงสมมติฐานจํานวนสาขารวมปี 2562 เอาไว้ที่ 827 สาขา ปี 2563 ที่ 913 สาขา และปี 2564 ที่ 991 สาขา ตามลําดับ นอกจากนี้ ยังได้ปรับเพิ่มประมาณการรายได้รวมในปี 2563 จนถึงปี 2564 ขึ้นอีก 2.3% เนื่องจากได้มีการปรับเพิ่มสมมติฐานรายได้จากยอดขายเครื่องมือถือขึ้นอีก 3.3% เพราะหากพิจารณากลยุทธ์ด้านราคาใหม่จะทําให้อุปสงค์ smartphone เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของเครื่องใหม่และเครื่องรุ่นเก่าที่ราคาถูกลงหลังปรับประมาณการกำไรใหม่ แล้วทําให้สามารถประเมินราคาเป้าหมายใหม่ที่ํ 29.00 บาท เพิ่มขึ้นจากเดิมที่่้ 28.00 บาท โดยราคาเป้าหมายอิงจาก PER ที่ 28.5x เท่ากับค่าเฉลี่ยในอดีต +0.75 S.D.
CPW รายได้โตเฉลี่ยปีละ 10% คาดปี 63 พุ่ง
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ให้ราคาเป้าหมายปี 2020E ที่ 3.10 บาท ประเมินมูลค่าหุ้น CPW ด้วยวิธี P/E Ratio ตามลักษณะธุรกิจ Commerce ที่ขายสินค้า Apple เป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งขายปลีกสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ได้แก่ COM7 และ JMART ควบคู่การวิเคราะห์ ROE, อัตราการเติบโตในระยะยาว, PER ของกลุ่ม Commerce และความเสี่ยงของธุรกิจ
ทั้งนี้ เราคาดว่า 3-Yr ROE ของ CPW อยู่ที่ 13% และ D/E ratio ที่ต่ำประมาณ 0.7x สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสในการขยายตัวทางธุรกิจที่สูง เราจึงเชื่อว่า CPW ควรเทรดระหว่าง COM7 และ JMART ที่ 2020E PER 21.0x แต่จากความเสี่ยงของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่เป็นหนึ่งในบริษัท Venture capital เราจึงเชื่อว่า CPW ควรที่จะเทรดที่อัตราคิดลด หรือ 2020E PER ประมาณ 20.0x และได้ราคาเป้าหมายปี 2020E ที่ 3.10 บาท
CPW มีมูลค่าพื้นฐานปี 2563 ในช่วงราคาที่ 3.10-3.20 บาทต่อหุ้น จากการเป็นผู้นำธุรกิจสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ที่มีช่องทางจำหน่ายครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้ง B2B และ B2C มีจุดเด่นในเรื่องความหลากหลายของสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ที่มีให้เลือกกว่า 200 ตราสินค้า และกว่า 2,000 รายการ มีการเลือกที่ตั้งร้านในห้างสรรพสินค้า หรือศูนย์การค้าชั้นนำ ที่มีการสัญจรลูกค้าเป้าหมายอย่างหนาแน่น
ขณะที่ได้อานิสงส์เชิงบวกจากการมาของเทคโนโลยี 5G และ IoT สนับสนุนความต้องการสินค้าที่ CPW จำหน่ายได้เพิ่มขึ้น คาดว่ารายได้ของ CPW จะเติบโตในอัตราเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี ระหว่างปี 2562-2564 โดยเฉพาะในปี 2563-2564 จะมีการเติบโตของรายได้ที่เร่งตัวขึ้นจากปีนี้ หลังนำเงินที่ได้จากการระดมทุน IPO ไปใช้ในการขยายและปรับปรุงสาขา นำมาซึ่งการเพิ่มยอดขายและประโยชน์จากขนาดธุรกิจใหญ่ขึ้น นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของสัดส่วนสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ ซึ่งให้อัตรากำไรสูงจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้บริษัทอีกทางหนึ่งด้วย