เปิดแผนธุรกิจ"ไรมอนแลนด์" กลุ่มทุนสิงคโปร์ มุ่งสร้างการเติบโตครอบคลุมทุกบิสซิเนส วางเป้า 2-3ปีข้างหน้า ทุ่มลงทุน 20,000-30,000 ลบ. พัฒนาโครงการคอนโดฯระดับลักชัวรีปีละไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท พร้อมขยายพอร์ตธุรกิจร้านอาหารภายใต้แบรนด์ "บ้านหญิง และ DINK DINK" ปักหมุดเพิ่มที่ไต้หวัน และจีน วางเป้าเปิดโรงแรมเพิ่ม คาดไม่เกิน 5 ปี สัดส่วนรายได้ประจำสู่ระดับ 30% ของรายได้รวม มองอุปสรรคภาคอสังหาฯ ทั้งกฎหมายอาคารสูง LTV ถือครองห้องชุดต่างชาติ
นายไลโอเนล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ "RML" ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ของประเทศไทย กล่าวว่าในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า( 2563-2565) บริษัทยังคงมุ่งมั่นพัฒนาบิสซิเนสโมเดลให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ รวมไปถึงการพัฒนานวัตกรรมการออกแบบเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ โดยการลงทุนที่จะเกิดขึ้นจะมีมูลค่ากว่า 20,000-30,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ทั้งในและต่างประเทศ รวมไปถึงการขยายสาขาธุรกิจด้านอาหาร ทั้งแบรนด์ "ร้านบ้านหญิง" และแบรนด์ลูก"DINK DINK" ในต่างประเทศ ซึ่งจะมีการเปิดโครงการระดับราคาขาย 10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก โดยเปิดโครงการรใหม่ปีละ 1-2 โครงการ มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งในปีหน้า (63) จะเปิดตัวคอนโดมิเนียม 1-2 โครงการ โครงแรกแรก ที่สุขุมวิท 38 รูปแบบโครงการคอนเซ็ปต์ใหม่ เป็นการร่วมทุนระหว่างพันธมิตรญี่ปุ่น มูลค่า 8,200 ล้านบาท
อีกโครงการอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลสุขุมวิทตอนกลาง ปัจจุบันบริษัทได้เจรจาซื้อที่ดินแล้ว และเจรจาหาพันธมิตรเข้ามาร่วมทุนพัฒนาโครงการ เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ จะมีการแถลงข่าวเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว ซึ่งยังไม่มั่นใจจะเปิดทันในปี 63 หรือไม่
นอกจากนี้ บริษัทมีโครงการมิกซ์ยูสที่จะเปิดการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งต้องหาพันธมิตรมาร่วมทุน เพิ่มโอกาสในการขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศได้มากขึ้น และขยายโอกาสดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยของบริษัทให้มากขึ้น ขณะเดียวกัน จะมีการนำโครงการThe Estelle พร้อมพงษ์ และโครงการThe Loft ราชเทวี ไปเปิดขายที่โชว์รูมในประเทศสิงคโปร์ และมีแผนเปิดโชว์รูมเพิ่มในประเทศจีน เพื่อเป็นการบริหารพอร์ตลูกค้าของไรมอนแลนด์ ที่สัดส่วนลูกค้าของบริษัทจะเป็นลูกค้าคนไทยและชาวต่างชาติ สัดส่วนอย่างละครึ่ง
สำหรับแผนการพัฒนาโครงการอสังหาฯในรูปแบบเชิงพาณิชย์นั้น จะพยายามเติมเต็มรายได้ประจำให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโครงการที่ดำเนินการแล้ว คือ โครงการอาคารสำนักงาน One City Centre (OCC) บนถนนเพลินจิต มูลค่า 8,800 ล้านบาท (รวมค่าเช่าที่ดินระยะ 30 ปี 3,300 ล้านบาท) คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จปี 65 และสร้างรายได้จากค่าเช่าประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อปี และบริษัทยังมีแผนลงทุนพัฒนาอาคารสำนักงานอีก 1 แห่ง ในกรุงเทพฯ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีพื้นที่ให้เช่าสำนักงานกว่า 1 แสนตารางเมตร(ตร.ม.)
ธุรกิจโรงแรม เปิดใหม่ 2 โรง มูลค่าลงทุน 2,000 ล้านบาท ได้แก่ โรงแรม KITCH Hotel ตั้งอยู่ด้านหน้าคอนโดมิเนียม เดอะ ริเวอร์ เจริญนคร จำนวนห้องพัก 72 ห้อง ราคาห้องพัก 1,400-1,600 บาท/คืน เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย เปิดบริการปี 63 และอีกโครงการบนถนนสุขุมวิท 220 ห้อง คาดเปิดบริการในอีก 4 ปีข้างหน้า
"ไรมอนแลนด์ จะมีห้องพักโรงแรมในแผน 5 ปี รวม 1,000 ห้อง ทั้งการลงทุนโดยตรงของบริษัท และนำแบรนด์โรงแรมของบริษัทเข้าไปรับบริหารให้กับเจ้าของโรงแรมที่สนใจ ซึ่งจะเป็นการต่อยอดการดำเนินธุรกิจโรงแรมในอนาคต โดยโรงแรมวางเป้ารายได้ 1,000 ล้านบาท "
ในด้านธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในเครือร้านอาหารบ้านหญิงและร้าน DINK DINK (แบรนด์ลูก) ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้วในประเทศสิงคโปร์อย่างละแบรนด์ และในแผนปี 63 จะนำแบรนด์ร้านบ้านหญิงไปเจาะลูกค้าที่ประเทศไต้หวันและเมืองเซี่ยงไฮ้ของจีน ขณะที่แบรนด์ลูก เปิดสาขาที่ไต้หวันเพื่อทดลองตลาดก่อนจะขยายไปยังจีนต่อไป เน้นเมืองท่องเที่ยว
"ยุโรปและสหรัฐ เป็นตลาดที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นแผนในอนาคตที่จะนำแบรนด์ลูกเข้าไปทำตลาด ซึ่งเราต้องไปหาพันธมิตรท้องถิ่น เนื่องจากมีความเข้าใจในรสนิยมของลูกค้าในประเทศนั้นๆ ซึ่งการลงทุนแต่ละสาขาใช้เวลาคืนทุนไม่เกิน 2 ปี ทั้งนี้ ธุรกิจอาหารจะมีรายได้เกิดขึ้นตามแผนที่ 1,000 ล้านบาท "
นายไลโอเนล ลี กล่าวว่า ตามแผนธุรกิจที่วางไว้ จะช่วยให้บริษัทเกิดความมั่นคงมากยิ่งขึ้น โดยในช่วง 5 ปีนี้ หรือภายในปี 66 จะมีรายได้ที่ 10,000 ล้านบาท กว่า 30% เป็นรายได้ประจำ จากปัจจุบันอยู่ที่ 10%
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ให้ความเห็นต่อภาพรวมตลาดคอนโดฯระดับลักชัวรี่ว่า บริษัทถือเป็นผู้นำในตลาดลักชัวรี่ และการที่ภาคอสังหาฯชะลอตัว ก็เป็นไปตามวัฎจักรของตลาด ซึ่งในส่วนของไรมอนแลนด์ฯไม่ได้ผลกระทบ เนื่องจากมีความเด่นในเรื่องของทำเลที่ตั้ง ดีไซน์ และกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตนมองว่าเป็นปัจจัยกระทบต่อตลาด คงต้องติดตามเรื่องสงครามการค้า(เทรดวอร์) ที่มีผลต่อดีมานด์และซัปพลาย ส่วนในประเทศจะมีเรื่องกฎหมายควบคุมอาคารที่มีความเข้มงวดเพิ่มขึ้นตลอด เรื่องเกณฑ์การควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย(LTV) และข้อจำกัดเรื่องเพดานการซื้อห้องชุดของชาวต่างชาติในสัดส่วน 49%
"ตลาดคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ อาจจะเหมาะกับลูกค้าคนไทยในสัดส่วน 20% ที่เหลือน่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อ 80% เพราะตอนนี้ คนไทยไม่มีกำลังซื้อพอ ซึ่งถ้าขยายเพดานได้ จะเป็นเรื่องที่ดี".