ผลดำเนินงาน 9 เดือนของ ธสน. มีสินเชื่อคงค้างกว่า 1 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14.54% มีกำไรสุทธิ 547 ล้านบาท ส่วนการปล่อยกู้สร้างปริมาณธุรกิจการค้าการลงทุนจะมีกว่า 1.4 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการปล่อยกู้ให้ SMEs ขณะที่สัดส่วน NPLs จะอยู่ที่ 4.96% และมีมูลค่าสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นกว่า 1 พันล้าน
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) กล่าวถึงผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนของปี 62 ว่า มีสินเชื่อคงค้าง 109,744 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,927 ล้านบาท หรือ 14.54% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อการค้า 35,378 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการลงทุน 74,366 ล้านบาท จากจำนวนนี้มีสินเชื่อคงค้าง SMEs เท่ากับ 35,969 ล้านบาท ส่งผลให้ ณ สิ้นเดือน ก.ย.62 ธสน. มีกำไรสุทธิ 547 ล้านบาท ทั้งนี้ การปล่อยสินเชื่อของธนาคารทำให้เกิดปริมาณธุรกิจ (Business Turnover) 140,519 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปริมาณธุรกิจของ SMEs เท่ากับ 79,248 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 56.40%
ด้านมูลค่าสินเชื่อของ ธสน. เติบโตขึ้น โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs Ratio) ณ สิ้นเดือน ก.ย.62 จะอยู่ที่ 4.96% ส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพจำนวน 5,440 ล้านบาท และมีเงินสำรองหนี้สงสัยจะสูญ จำนวน 10,539 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1,611 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นสำรองหนี้พึงกันตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จำนวน 7,292 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินสำรองที่กันไว้แล้วต่อสำรองพึงกัน 144.53% ทำให้ ธสน. ยังคงดำรงฐานะการเงินที่มั่นคง
สำหรับการทำหน้าที่คุ้มครองความเสี่ยงให้แก่ธุรกิจส่งออกและโครงการลงทุนของผู้ประกอบการไทยในต่างประเทศนั้น กรรมการผู้จัดการ ธสน. กล่าวว่า ได้ขยายบริการประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงการลงทุน เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจในตลาดเดิมและตลาดใหม่ได้อย่างมั่นใจ โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 62 มีปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและการลงทุนเท่ากับ 96,772 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31,980 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นปริมาณธุรกิจของ SMEs จำนวน 16,420 ล้านบาท หรือ 16.97%
ส่วนวงเงินที่ให้การสนับสนุนแก่สินเชื่อโครงการระหว่างประเทศเมื่อสิ้นไตรมาส 3 ของปี 62 จะมีทั้งสิ้น 83,432 ล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อคงค้าง จำนวน 42,766 ล้านบาท จากจำนวนนี้เป็นสินเชื่อคงค้างให้แก่โครงการลงทุนของไทยในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว พม่า และเวียดนาม) จำนวน 30,567 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,370 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของ CLMV ซึ่งยังคงเป็นประเทศเป้าหมายหลักในการเข้าไปลงทุนในต่างประเทศของผู้ประกอบการไทย โดยปัจจุบัน EXIM BANK มีสำนักงานผู้แทนในย่างกุ้ง เวียงจันทน์ และพนมเปญ และอยู่ระหว่างเตรียมการเปิดสำนักงานผู้แทน EXIM BANK ในเวียดนามต่อไป