บมจ. โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ เผยไตรมาส 2/61 รายได้รวม 6,563 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% ส่งผลให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,052 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% หลังเดินหน้าโรงไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์เต็มทั้ง 2 เฟส
นายเติมชัย บุนนาค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินการในไตรมาส 2/61 บริษัท และกลุ่มบริษัท GPSC มีรายได้รวมทั้งสิ้น 6,563 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ทำกำไรสุทธิได้สูงสุดถึง 1,052 ล้านบาท เติบโต 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่โรงไฟฟ้า ไออาร์พีซี คลีน พาวเวอร์ (IRPC-CP) เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เต็มทั้ง 2 ระยะ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2560 รวมทั้งอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (Ft) ที่ปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งปริมาณการขายไฟฟ้า และไอน้ำของโรงผลิตสาธารณูปการระยอง เพิ่มสูงขึ้น หลังจากลูกค้ารายหลักหยุดมีการซ่อมบำรุงในไตรมาสที่ 2/60
ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาพรวมการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าในไตรมาส 2 เกิดจากความสามารถทั้งในด้านการผลิตและจำหน่ายที่สูงขึ้น จากประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้า IRPC-CP และโรงผลิตสาธารณูปการระยอง
นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1/61 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 15% และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 14% เนื่องจากรับรู้ผลประกอบการเพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Ichinoseki Solar Power 1 GK (ISP1) ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 20.8 เมกะวัตต์ ที่เริ่มจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2560 แต่ด้วยสภาพอากาศในประเทศญี่ปุ่น ที่มีหิมะตกหนักในช่วงไตรมาส 1/61 จึงทำให้กลับมาผลิตไฟฟ้า เพื่อป้อนเข้าสู่ระบบได้ตามปกติแล้วในไตรมาส 2 นี้
ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีการรับรู้ผลการดำเนินงานที่สูงขึ้นของโรงไฟฟ้าศรีราชา ขนาดกำลังการผลิต 700 เมกะวัตต์ จังหวัดชลบุรี ที่ได้รับค่าพลังงานไฟฟ้า หรือ EP (Energy Payment) เพิ่มขึ้นจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตามการเรียกรับไฟฟ้าที่มากขึ้นในไตรมาส 2 รวมทั้งยังได้รับค่าความพร้อมจ่าย หรือ AP (Availability Payment) ในกรณีที่ไม่มีการเรียกรับไฟฟ้าเข้าระบบ จาก กฟผ. อีกด้วย
“จากผลประกอบการในไตรมาส 2 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งรายได้ และกำไร โดยเฉพาะกำไรสุทธิที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้ปรับตัวดีขึ้นจากทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาส 1 ของปีนี้ การที่ GPSC สามารถทำกำไรได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง เพราะความสามารถในการบริหารจัดการ และดูแลการผลิตไฟฟ้า และสาธารณูปโภค ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัท ตั้งเป้าไว้ และเชื่อว่าจะยังคงรักษาความสามารถไว้ได้ดีอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีนี้” นายเติมชัย กล่าว
นายเติมชัย กล่าวอีกว่า ในส่วนของโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างที่เตรียมเดินเครื่องผลิตในเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2562 ประกอบด้วย โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว ได้แก่ โรงไฟฟ้า น้ำลิก 1 (NL1PC) ขนาดกำลังการผลิต 65 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้า ไซยะบุรี (XPCL) กำลังการผลิต 1,285 เมกะวัตต์ รวมทั้งโรงผลิตสาธารณูปการระยอง แห่งที่ 4 กำลังผลิต 45 เมกะวัตต์ ไอน้ำ 70 ตันต่อชั่วโมง นอกเหนือจากนี้ ยังมีโครงการส่วนต่อขยายของโรงไฟฟ้า นวนคร (NNEG) กำลังผลิต 60 เมกะวัตต์ ไอน้ำ 10 ตันต่อชั่วโมง ที่จะพร้อมเริ่มจ่ายไฟฟ้าและไอน้ำให้กับลูกค้าได้ในปี 2563 ซึ่งขณะนี้ทุกโครงการมีความคืบหน้าในการพัฒนา และมั่นใจว่าสามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
GPSC ยังได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มเติมด้วยว่า สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2561 โรงไฟฟ้าศรีราชา จะมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนเกือบตลอดทั้งไตรมาสในไตรมาสที่ 4/61 และโรงไฟฟ้า IRPC-CP จะมีการหยุดซ่อมบำรุงในไตรมาส 4 เช่นกัน นอกจากนี้ โรงผลิตสาธารณูปการระยอง จะมีการหยุดซ่อมบำรุงทั้งในไตรมาสที่ 3 และ 4
สำหรับแผนการดำเนินการเข้าซื้อหุ้น บมจ. โกลว์ พลังงาน (GLOW) หากการดำเนินการตามเงื่อนไขบังคับก่อนสำเร็จเสร็จสิ้น การเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 69.11% อาจสำเร็จในไตรมาส 3 หรือ 4 ปี 2561 และการเข้าซื้อหุ้นส่วนที่เหลือทั้งหมดอีก 30.89% จะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 4/61 ซึ่งหากรายการเข้าซื้อสำเร็จ จะสะท้อนมายังงบการเงินรวมของบริษัท ซึ่งจะมีการบันทึกบัญชีโดยตีค่าจากมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์มีตัวตน และไม่มีตัวตนของกิจการที่เข้าซื้อ และผลต่างของมูลค่ายุติธรรมจะถูกบันทึกเป็นค่าความนิยมต่อไป