xs
xsm
sm
md
lg

(รับชมคลิป) บล.กสิกรแนะเลี่ยงหุ้นกลุ่มบันเทิง สื่อสาร เหตุมีความเสี่ยงสูง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย
ผู้จัดการรายวัน 360 ํ - บล.กสิกรไทย คาดหุ้นไทยยังคงเติบโตดีในทิศทางบวก เหตุปัจจัยบวกภายในประเทศหนุน จากนโยบายอัดฉีดนโยบายภาครัฐดัน ประเมิน GDP ปีนี้อาจแตะ 4.5% เตือนระวัง 3 ปัจจัยลบสำคัญกดดันหุ้นไทยอาจดิ่งแตะ 1,423 จุด ชี้หุ้นราคาปรับตัวขึ้นมาสูง กลุ่มบันเทิง และกลุ่มสื่อสารบางตัว มีความเสี่ยงสูงแนะเลี่ยงลงทุน



นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KS กล่าวว่า มุมมองในครึ่งหลังของปี 2561 ทาง บล.กสิกรไทยประเมินว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ยังคงเติบโตในทิศทางบวก จากปัจจัยบวกภายในประเทศ ซึ่ง นายกำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย มองว่า GDP ในปีจะเติบโตเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 4.5% จากเดิมต้นปีที่ประเมินไว้ที่ 4.0%

การปรับตัวบวกของ GDP ภายในประเทศถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ในการทัดทานมุมมองหรือผลกระทบจากปัจจัยลบต่างประเทศที่จะมีเข้ามา แม้ว่าเศรษฐกิจต่างประเทศที่ยังคงเติบโตต่อเนื่องในทิศทางที่ดี และน่าพอใจ เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดี แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยความไม่แน่นอน ใน 2 ประเด็นหลักที่สร้างความกังวลต่อสภาวะการลงทุนในทุกประเทศทั่วโลก ได้แก่ 1.ความกังวลด้านข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่จะลุกลามบานปลายเป็นสงครามการค้า ประเด็นที่ 2 คือ การลงทุนในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ ซึ่งมีการชะลอตัวของเศรษฐกิจลง โดยวิเคราะห์จากปริมาณเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และได้มีการโจมตีค่าเงินอยู่เป็นระยะ ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้ ถือได้ว่าเป็นปัจจัยหลักที่เข้ามารบกวนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย รวมไปถึงตลาดทุนประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าครึ่งหลังของปี 2561 แรงกดดันเชิงลบจากต่างประเทศที่มีต่อการลงทุนจะเบาบางลง ในขณะเดียวกัน ปัจจัยบวกภายในประเทศที่เหมือนเป็นสปริงบอร์ด โดยเฉพาะกำลังซื้อภายในประเทศที่จะมีมากขึ้นในครึ่งปีหลัง ได้แก่ ผู้มีรายได้ปานกลาง-สูง จากสัญญาณเชิงบวกของรายได้ในอุตสาหกรรมนอกภาคการเกษตร ที่มีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการปล่อยสินเชื่อของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หรือสินเชื่อส่วนบุคคล ไมโครไฟแนนซ์ นาโนไฟแนนซ์ ที่จะปล่อยสินเชื่อหรือเพิ่มวงเงินสินเชื่อให้แก่ผู้มีรายได้ปานกลาง-สูง มีมากขึ้น

ขณะที่ผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง จากผลการวิเคราะห์เห็นว่ารายได้ภาคการเกษตรมีการปรับประมาณการเพิ่มขึ้นมาจากเดิมที่เคยติดลบ พลิกกลับมาเป็นบวก 2 เดือนต่อเนื่องกัน โดยยังคงมีความคาดหวังว่า แนวโน้มยิ่งใกล้ระยะเวลาที่รัฐบาลประกาศกำหนดการเลือกตั้ง จะได้เห็นเม็ดเงินจากภาครัฐกระจายลงไปสู่นโยบายโครงสร้างพื้นฐานระดับฐานรากมากยิ่งขึ้น เช่น กองทุนประชารัฐ

เราคาดหวังว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในกรอบเวลาที่รัฐบาลวางไว้ที่ประมาณเดือน ก.พ.2562 หรืออย่างช้าไม่เกินเดือน พ.ค.2562 จะนำมาซึ่งการลงทุนในนโยบายภาครัฐขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการประมูลที่สำคัญต่างๆ ซึ่งจะส่งผลสะท้อนมาที่การลงทุนภาคเอกชนซึ่งเป็นอุตสาหกรรมกลางน้ำและปลายน้ำเกี่ยวเนื่องกันไปด้วยเช่นกัน ตามไปด้วย เช่น พ.ร.บ.ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ซึ่งได้ประกาศใช้เป็นกฎหมายไปแล้วเมื่อต้นเดือน พ.ค.2561 ที่ผ่านมา ดังนั้น ภาพการลงทุนของทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน ตลอดจนถึงการบริโภคภายในประเทศ ที่สะท้อนออกมาในทิศทางที่แข็งแกร่ง น่าจะเป็นสปริงบอร์ดที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะฟื้นตัวกลับขึ้นไปสู่ความคึกคักขึ้นอีกครั้งในครึ่งหลังของปีได้

ขณะนี้ดัชนี SET INDEX เคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 1,630 จุดต้นๆ ซึ่งถือว่าผ่านจุดต่ำสุดที่ 1,580 จุดมาแล้ว บนพื้นฐาน P/E 14 เท่า ซึ่งทาง บล.กสิกรยังคงเป้าหมายดัชนีเดิมที่ 1,898 จุดไว้เช่นเดิม ภายใต้สมมุติฐาน 3 ประการ คือ การเลือกตั้งในต้นปีหน้า เศรษฐกิจในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ไม่มีการชะลอตัวปรับลดลงอย่างรุนแรง และข้อพิพาททางด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ไม่ยืดเยื้อจนกลายเป็นสงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งถ้าหากไม่มีปัจจัยลบ 3 ประการข้างต้นที่กล่าวมาเข้ามากระทบ เชื่อมั่นจากแรงหนุนด้านปัจจัยบวกภายในประเทศ ว่าจะเป็นแรงผลักดันให้ดัชนี SET INDEX กลับไปยืนเหนือ 1,898 จุดได้ แต่ในทางกลับกันหากไม่เป็นไปตามคาด เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจจะได้รับผลกระทบจนปรับตัวลดลงรุนแรงโดยเลวร้ายที่สุดกดดัน SET INDEX ร่วงลงแตะ 1,423 จุด

ทั้งนี้ทิศทางการปรับฐานของตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือน พ.ค.- มิ.ย. และมักจะปรับตัวขึ้น ก.ค.-ก.ย. อาจจะมีการสวิงแกว่งตัวในแนวบวกสลับลบบ้างในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย. และจะกลับฟื้นตัวขึ้นมาชัดเจนในเดือน ธ.ค. ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซัน ซึ่งเป็นไปตามวัฏจักรปกติของตลาดหุ้นไทย

ขณะเดียวกัน หุ้นในกลุ่มที่นักลงทุนอาจจะต้องระมัดระวังในการลงทุน ได้แก่ หุ้นที่มีการปรับราคาขึ้นมาสูง เช่น KTC BCH STPI และไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน เช่น หุ้นกลุ่มบันเทิง หรือหุ้นกลุ่มสื่อสารบางตัวที่ผลประกอบการแย่กว่าที่คาดไว้ เช่น DTAC เป็นต้น


กำลังโหลดความคิดเห็น