ปตท.สผ. กำไร 3,590.21 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 7,535.56 ล้านบาท หรือกำไรลดลง 3,945.35 ล้านบาท หรือลดลง 52.35% ผลจากขาดทุนค่าเงิน และค่าใช้จ่ายทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยนตามค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. ยันผลการดำเนินงานหลักยังแข็งแกร่ง
นายสมพร ว่องวุฒิพรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) แจ้งผลงานไตรมาส 2 ปี 61 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 3,590.21 ล้านบาท ขณะที่งวดนี้ปีก่อนมีกำไรสุทธิ 7,535.56 ล้านบาท หรือกำไรลดลง3,945.35 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 52.35%
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีขาดทุนจากรายการที่ไม่ใช่การดำเนินงานปกติ (Non-Recurring) 223 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่เกิดจากขาดทุนและค่าใช้จ่ายทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยนตามค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ระหว่างไตรมาสเป็นผลให้กำไรสุทธิสำหรับไตรมาสนี้ ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 113 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ บริษัทยังสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกถึง 1,241 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมรักษาระดับอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA Margin) ที่ระดับร้อยละ 73 บริษัทยังคงเน้นดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์ 3R (RESET REFOCUS RENEW) อย่างต่อเนื่อง
สถานะการเงินของบริษัท ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2561 มีสินทรัพย์รวม 19,403 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีส่วนที่เป็นเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นรวมทั้งสิ้น 3,421 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 7,724 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเป็นส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ย 2,252 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และส่วนของผู้ถือหุ้น 11,679 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ขณะที่เมื่อเปรียบเทียบปริมาณการขายเฉลี่ยของไตรมาส 2 ปี 2561 กับไตรมาส 2 ปี 2560 ที่มีปริมาณการขายเฉลี่ย 281,435 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน พบว่าปริมาณการขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น โดยหลักจากโครงการคอนแทร็ค 4 เนื่องจากผู้ซื้อรับก๊าซธรรมชาติในปริมาณที่เพิ่มขึ้น และโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เนื่องจากผู้ซื้อในประเทศมาเลเซียสามารถกลับมารับก๊าซธรรมชาติในปริมาณที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งจำนวนวันในการปิดซ่อมบำรุงในไตรมาส 2 ปี 2561 น้อยกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สำหรับราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 46.94 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ (สำหรับไตรมาส 2 ปี 2560: 38.08 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ)
อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถรักษาผลการดำเนินงานหลักที่แข็งแกร่ง สะท้อนผ่านปริมาณการขายปิโตรเลียมเฉลี่ยที่ปรับตัวดีขึ้นกว่าร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่ 302,846 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน โดยหลักมาจากโครงการซอติก้า และโครงการสินภูฮ่อม ประกอบกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยสูงขึ้นประมาณร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ 46.94 ดอลลารสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ อย่างไรก็ตาม ต้นทุนต่อหน่วยในไตรมาสนี้ปรับตัวสูงขึ้นจาก 29.20 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ ามันดิบในไตรมาส 1 มาอยู่ที่ 31.51 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เนื่องจากค่าเสื่อมราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นตามการรับรู้สินทรัพย์ที่พร้อมใช้งานโดยหลักในโครงการเอส 1 และค่าใช้จ่ายจากกิจกรรมซ่อมบำรุงตามแผนของโครงการบงกชจากผลการดำเนินงานหลักข้างต้นส่งผลให้บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (Recurring Net Income) ที่ 336 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
สำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดเดือนมิถุนายน ปี 2561 ปตท.สผ.และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 536 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลง 33 ล้านดอลลาร์ สรอ.หรือร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับงวดหกเดือนสิ้นสุดเดือนมิถุนายน ปี 2560 ที่มีกำไรสุทธิ 569 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยแบ่งเป็นกำไรจากการดำเนินงานปกติ 640 ล้านดอลลาร์ สรอ. และ ขาดทุนจากรายการที่ไม่ใช่การดำเนินงานปกติ 104 ล้านดอลลาร์ สรอ.กำไรจากการดำเนินงานปกติ สำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดเดือนมิถุนายน ปี 2561 จำนวน 640 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 262 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเปรียบเทียบกับงวดหกเดือนสิ้นสุดเดือนมิถุนายน ปี 2560 ที่มีกำไร 378 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 439 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ค่าเสื่อมราคา ค่าสูญสิ้น และค่าตัดจำหน่าย เพิ่มขึ้น 67 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนใหญ่มาจากหลุมพัฒนาและแท่นหลุมผลิตเพิ่มขึ้นจากโครงการคอนแทร็ค 4 และโครงการเอส 1 รวมทั้งค่าภาคหลวง และค่าตอบแทนสำหรับปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น 38 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามรายได้ค่าขายในประเทศที่เพิ่มมากขึ้น
ขณะที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานรวมของกลุ่มบริษัทฯ งวด 6 เดือนแรกของปี 2561 ในอัตราหุ้นละ 1.75 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นและกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 9 สิงหาคม 2561 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 24 สิงหาคม 256