สิงห์ เอสเตท รุกคอนโดฯ โลว์ไรส์ เปิดตัวแบรนด์ “อีส” ประเดิมโครงการแรก “อีส สุขุมวิท 43” ตร.ม. ละ 2 แสนบาท มูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท ครึ่งปีหลังเปิด 2 โครงการ มูลค่า 8,500 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 5,000 ล้านบาท
นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท (จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจหลังจากนี้ว่า นโยบายการลงทุนของบริษัทหลังจากนี้จะเน้นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายอย่างน้อยแบรนด์ละ 1 โครงการ หรือปีละ 3 โครงการ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เน้นพัฒนาสินค้าระดับลักชัวรี และซูเปอร์ลักชัวรี หรือระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป รับกลุ่มเป้าหมายที่ซื้อเพื่ออยู่เอง และกลุ่มนักลงทุน
สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ มูลค่า 8,500 ล้านบาท โดยล่าสุดได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ “อีส” (EYSE) ซึ่งเป็นคอนโดฯ โลว์ไรส์ทำเลในซอยใจกลางธุรกิจ ระดับราคาตั้งแต่ 2 แสนบาทต่อ ตร.ม. ต่างจากแบรนด์ ดิ เอส ที่จะเป็นคอนโดฯ แบบไฮไรส์ ทำเลติดถนนใหญ่ใจกลางเมือง
สำหรับ อีส โครงการแรก “อีส สุขุมวิท 43” บนพื้นที่เกือบ 2 ไร่ ประกอบด้วยอาคารชุดสูง 7 ชั้น 2 อาคาร 107 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท ราคาขายตั้งแต่ 13.99-30 ล้านบาท รองรับกลุ่มเป้าหมายซื้อเพื่ออยู่เอง ซึ่งมี 3 กลุ่ม คือ คนโสด กลุ่มครอบครัวขนาดเล็ก และกลุ่มสูงอายุที่ไม่ทำงานแล้วแต่ยังต้องการใช้ชีวิตในเมือง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มเป็นนักลงทุนด้วยบางส่วน โดยจะเปิดขายในวันที่ 21-22 ก.ค. นี้ คาดว่าปิดการขายได้ 50% ภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่งานก่อสร้างจะเริ่มในไตรมาส 4 นี้ และแล้วเสร็จพร้อมโอนช่วงปลายปี 2563
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเปิดตัวโครงการที่เป็นแฟลกชิปของบริษัท ได้แก่ โครงการสันติบุรี เรสซิเดนซ์ ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม เป็นบ้านเดี่ยวระดับอัลตร้า ลักชัวรี บนที่ดินทั้งหมด 45 ไร่ ประกอบด้วยบ้านเดี่ยวบนแปลงที่ดิน 1 ไร่เศษ รวม 26 หลัง มูลค่าโครงการรวม 6,500 ล้านบาท 45 ไร่ โดยราคาขายต่อหลังเริ่มต้นที่ 250 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้เปิดให้ผู้ที่สนใจลงทะเบียนตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 100 ราย
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายทุกโครงการในปีนี้ 4,000-5,000 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายรายได้วางไว้ที่ 1,200 ล้านบาท โดยจะมาจากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการดิเอส อโศก ที่จะเริ่มโอนได้ในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมโครงการแรกของบริษัทที่ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 80% จากมูลค่าโครงการ 4,900 ล้านบาท ทั้งนี้ ในเดือนต.ค. นี้ บริษัทจะเปิดขาย 20% สุดท้าย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบบ 1 ห้อง 45 ตร.ม. ราคาขายช่วงเปิดตัวเมื่อ 2 ปีที่แล้วอยู่ที่ 2 แสนบาทต่อ ตร.ม.
ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ หรือแบล็กล็อกที่มีอยู่ในปัจจุบัน 11,250 ล้านบาท โดยจะรับรายได้ในปีนี้บางส่วน ปี 2562 รับรู้รายได้ประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท และในปี 2563 และปีต่อๆ ไปบริษัทจะมียอดรับรู้รายได้ปีละไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรียังมีทิศทางการเติบโตที่ดี เนื่องจากเชื่อว่าตลาดนี้ยังมีโครงการออกมาน้อย โดยดูได้จากจำนวนคอนโดกรุงเทพฯ ที่เปิดตัวในปีที่ผ่านมา รวม 55,000 ยูนิต ซึ่งมีเพียง 20% หรือราว 12,000 ยูนิต ที่เป็นคอนโดในใจกลางกรุงเทพฯ โดยที่ 6% หรือประมาณ 3,000 กว่ายูนิต เป็นคอนโดในตลาดลักชัวรี และอัตราการขายก็ค่อนข้างดีเกิน 60% ขึ้นไปทุกโครงการ โดยบางโครงการปิดการขายภายใน 1-2 เดือน ดังนั้น คอนโดในตลาดนี้ยังมีศักยภาพอีกมาก