ทรีนีตี้ค้นหา “หุ้นเด่น” ที่ราคามีโอกาส “ดีดกลับ” ได้ดีกว่าตลาดภาพรวม หลังเดือน ก.ค. ดัชนีเริ่มฟื้นตัวขึ้นตามคาด เนื่องจากปัจจัยภายนอกเริ่มคลี่คลาย และตลาดได้ซึมซับรับข่าวร้ายมามากแล้ว จนกดราคาหุ้นไทยลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ยันเป้าดัชนีเดือน ก.ค. จะกลับขึ้นมาทดสอบระดับ 1,650 จุดเป็นอย่างน้อย และมีลุ้นทะลุกรอบดังกล่าว หากกำไรบริษัทจดทะเบียนออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ พร้อมเปิดรายชื่อหุ้นใหญ่ใน SET 50 ที่เข้าเกณฑ์ “หุ้นดีดกลับ” นำโดย IVL และ PTTGC
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ให้ความเห็นถึงสถานการณ์ SET Index ล่าสุดว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยเริ่มฟื้นตัวขึ้นในเดือนกรกฎาคมตามคาด โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากปัจจัยแวดล้อมภายนอกประเทศที่เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น และข่าวร้ายที่ตลาดรับรู้ไปพอสมควรแล้ว เช่น ประเด็นสงครามการค้า
นอกจากนี้ ยังได้ปัจจัยสนับสนุนจากราคาน้ำมันที่ทรงตัวได้อยู่ในระดับสูง และยังมีแรงซื้อสนับสนุนเข้ามาจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อค่าเงินบาท สะท้อนจากแรงขายในตราสารหนี้ระยะสั้นที่ชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญ คือ Valuation หรือมูลค่าของตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจในทุกมิติ ประกอบกับความผันผวนของตลาดที่ลดลง เนื่องจากสถานะคงค้างของธุรกรรม Block trade ได้ถูกปิดลงมาอย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้น มุมมองและกลยุทธ์การลงทุนของทรีนีตี้ที่แนะนำนักลงทุนคือ ในกรณีฐาน เรายังคงยืนยันเป้าหมายดัชนีในเดือนกรกฎาคมนี้ ที่ 1,650 จุด ส่วนในกรณีที่ดีสุด หากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่กำลังจะทยอยประกาศมาอยู่ในเกณฑ์ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ก็มีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวทะลุกรอบดังกล่าวขึ้นไปทดสอบแถวบริเวณ 1,680-1,700 จุดได้เช่นกัน
“ดังนั้น ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน ทรีนีตี้ ยังคงแนะนำให้นักลงทุนถือหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี หรือหุ้น Blue chip ขนาดใหญ่ต่อไปจนกว่า SET Index จะปรับขึ้นไปถึงบริเวณ 1,650 จุด ซึ่งนักลงทุนระยะสั้นอาจใช้เป็นจังหวะในการขายทำกำไรออกมาส่วนหนึ่ง ส่วนนักลงทุนระยะกลาง-ยาว อาจเลือกถือหุ้นต่อไปได้ เนื่องด้วยระดับ Forward PE ปัจจุบันนั้น ยังคงอยู่ในระดับเพียง 13.6 เท่า ต่ำกว่าระดับ 14.1 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ทรีนีตี้ย้ำมาตลอดว่าเป็นบริเวณการซื้อขายที่ตลาดหุ้นไทยมักมีเสถียรภาพมากที่สุด”
นายณัฐชาต กล่าวต่อว่า จากการที่เราประเมินว่า SET Index มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นไปถึงบริเวณ 1,650 จุดเป็นอย่างน้อย และ 1,680-1,700 จุดในกรณีดีสุด ทรีนีตี้ จึงได้วิเคราะห์ และคัดกรองหุ้นที่คาดว่าจะ “ดีดกลับ” หรือปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าตลาดในรอบนี้ โดยประเมินว่าน่าจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่อยู่ในดัชนี SET50 เนื่องจากราคาหุ้นกลุ่มนี้มีการปรับฐานลงมามาก ซึ่งไม่สอดคล้องกับประมาณการกำไรที่ถูกปรับลดทอนลงเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
ทั้งนี้ ในมุมมองของทรีนีตี้ ประเมินว่าหุ้นขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะปรับตัวได้ดีกว่าตลาดในช่วงขาขึ้น จะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ 1) เป็นหุ้นที่ถูกกดดันลงมามากจากแรงขายเชิงจิตวิทยา และการถูกปิดสถานะต่างๆ 2) เป็นหุ้นที่มีการปรับฐานรอบนี้แรงกว่าตลาด และเป็นหุ้นที่มีค่า Beta ในระดับสูง 3) เป็นหุ้นที่มี Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจแล้ว และ 4) เป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ เช่น มีกำไรที่ถูกปรับขึ้น และมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในระดับที่เหมาะสม
ดังนั้น ทรีนีตี้ จึงกำหนด 8 คุณสมบัติที่ใช้คัดหุ้นใหญ่ใน SET50 ดังนี้ 1) เป็นหุ้นที่ถูกปิดสถานะใน Single Stock Futures ลงมาอย่างมีนัยสำคัญ นับตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. ซึ่งเป็นวันแรกของการปรับฐานในรอบนี้ 2) เป็นหุ้นที่ถูก Short sales ในระดับ 3% ขึ้นไปของปริมาณซื้อขายในกระดานหลัก นับตั้งแต่ 7 มิ.ย. เป็นต้นมา 3) เป็นหุ้นที่มีการปรับฐานลงมามากกว่าตลาด หรือมากกว่า 6.6% 4) เป็นหุ้นที่มีค่า Beta มากกว่า 1 เท่า 5) เป็นหุ้นที่มี Forward PBV ปัจจุบันต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 6) เป็นหุ้นที่มี Forward PE ปัจจุบันต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 7) เป็นหุ้นที่ถูกปรับเพิ่มประมาณการกำไรขึ้นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา 8) เป็นหุ้นที่มีคาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในระดับ 1.5% ขึ้นไป
นายณัฐชาต กล่าวว่า สำหรับผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณ พบว่าไม่มีหุ้นใดผ่านเกณฑ์ทั้งหมด 8 คุณสมบัติจะมีมากที่สุดก็คือ 7 คุณสมบัติ ได้แก่ IVL และ PTTGC ส่วนหุ้นที่ผ่านเกณฑ์ 6 คุณสมบัติรองลงมา ได้แก่ BANPU, BEAUTY, SCB, TRUE และหุ้นที่ผ่านเกณฑ์ 5 คุณสมบัติ ได้แก่ BPP, CBG, DTAC, EA, MTC, PTT, PTTEP, ROBINS, SCC, SPRC, TMB, TOP, TU ทั้งนี้ เมื่อนำหุ้นชุดดังกล่าวมาประกอบกับการวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐานของบริษัท พบว่าหุ้นที่ยังคงมี Upside จากราคาเป้าหมายของทรีนีตี้ ได้แก่ BANPU, PTT, PTTEP, SPRC, TOP, IVL, PTTGC, SCB, TMB, TRUE, DTAC, ROBINS, SCC และ TU มอง 14 บริษัทนี้เป็นบริษัทที่น่าสนใจสำหรับการถือครองในพอร์ต เพื่อรองรับการฟื้นตัวของตลาดในช่วงถัดไป