เบตเตอร์ เวิลด์ กรีนเปิดบริษัทย่อย “เบตเตอร์ มี” รวมศูนย์ทุกบริการในเครือเพื่อให้บริการจัดการขยะอุตสาหกรรมแบบครบวงจร กากอุตสาหกรรม มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี ล่าสุด คือ 30 ล้านตัน การกำจัดที่ถูกต้องจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมชุมชน และทรัพยากรธรรมชาติ ให้คงอยู่ต่อไป ระบุบริษัทใหม่จะดันผลประกอบการบริษัทฯ ให้โตอย่างแข็งแกร่ง หลังไตรมาสแรกปีนี้โชว์กำไรโต 87%
คุณกมลา เหลืองวิริยะ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) (BWG) ผู้นำในธุรกิจกำจัดกากอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร ทั้งฝังกลบ เผาทำลาย นำกลับมาใช้ใหม่และเป็นเชื้อเพลิงผลิตพลังงานทดแทน เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เปิดตัวบริษัทใหม่ในชื่อ “บริษัท เบตเตอร์ มี จำกัด” เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2561 ด้วยทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท โดย BWG ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว 99.68%
ทั้งนี้ “บริษัท เบตเตอร์ มี จำกัด” จะดำเนินธุรกิจการเป็นนายหน้าและหรือตัวแทน ในการให้บริการรับกำจัดกากอุตสาหกรรมอันตราย และหรือไม่อันตราย ทั้งที่เป็นของแข็ง และหรือของเหลว การวิเคราะห์กากอุตสาหกรรม การขนส่ง หรือการบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
“บริษัท เบตเตอร์ มี จำกัด จะช่วยอำนวยความสะดวก รวดเร็ว และครบวงจร ให้แก่ลูกค้า โดยจะใช้แนวคิดแบบ one stop service คือ ช่วยจัดการ เรื่อง waste ทั้งหมดในโรงงานให้แก่ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการนำกลับมาใช้ใหม่ น้ำเสีย การนำไปฝังกลบตลอดจนการนำไปเผา รวมไปถึงการขนส่งกากอุตสาหกรรมทั้งที่เป็นอันตราย และไม่เป็นอันตราย โดยบริษัทตั้งใจจะใช้เทคโนโลยีมาพัฒนาการให้บริการให้ดียิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เองได้มีการปรับปรุงข้อกฎหมายลูกเพิ่มอีก 3 ฉบับ ภายใต้ พ.ร.บ. โรงงานอุตสาหกรรม พ.ศ. 2535 เกี่ยวกับการขออนุญาตและการอนุญาตนำสิ่งปฏิกูล หรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วออกบริเวณโรงงาน (สก.2) เพื่อให้การจัดการกากอุตสาหกรรมเกิดการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของ “เบตเตอร์ มี” จะสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานของ BWG เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งสำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2561 (สิ้นสุด 31 มี.ค. 61) ของ BWG มีกำไรสุทธิ 78.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และ BWG ยังอยู่ระหว่างการขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงกากอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาเชื้อเพลิง เพื่อรองรับโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”