กรมโรงงานอุตสาหกรรมเผยการขอใบอนุญาตประกอบกิจการและการขยายกิจการ (รง.4) ครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย. 61) มีทั้งสิ้น 2,504 โรงงาน เพิ่มขึ้น 0.52% มูลค่ากว่า 168,523 ล้านบาท พบพื้นที่อีอีซีลงทุนเริ่มไหลเข้าหลัง พ.ร.บ.อีอีซีมีผลบังคับใช้ ขณะที่ จ.สมุทรสาครโรงงานครองแชมป์ขออนุญาตประกอบกิจการใหม่มากสุด ส่วน จ.สมุทรปราการครองแชมป์ขอขยายโรงงานมากสุด
นายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยว่า การขอใบอนุญาตประกอบกิจการและการขยายกิจการ (รง.4) ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา (มกราคม-มิถุนายน 2561) พบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 2,504 โรงงาน เพิ่มขึ้น 0.52% จากช่วงเดียวกันในปี 2560 ที่มีอยู่ 2,491 โรงงาน ขณะที่มูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 168,523.69 ล้านบาทลดลง 31.38% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่ 221,401 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จากการประกาศใช้ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ในช่วงไม่ถึง 2 เดือนที่ผ่านมา ทำให้การลงทุนในพื้นที่อีอีซีดังกล่าวยังคงมีความคึกคักอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานั้นการขออนุญาตประกอบและขยายกิจการมีจำนวนทั้งสิ้น 53 โรงงาน มูลค่าการลงทุนเติบโตขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2,820 เป็น 9,863.24 ล้านบาท หรือเกือบ 250% โดยในจังหวัดฉะเชิงเทรามีการจดประกอบและขยายกิจการจำนวน 10 โรงงาน มูลค่าการลงทุนรวม 3,111.29 ล้านบาท จังหวัดชลบุรี จำนวน 24 โรงงาน มูลค่าการลงทุนรวม 1,363.35 ล้านบาท และจังหวัดระยอง จำนวน 19 โรงงาน มูลค่าการลงทุนรวม 5,388.60 ล้านบาท โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการจดประกอบและขยายกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก คือ กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์โลหะ และกลุ่มแปรรูปไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้
สำหรับในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ 5 อันดับจังหวัดที่มีการขออนุญาตประกอบกิจการใหม่มากที่สุด ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร 207 โรงงาน จังหวัดสมุทรปราการ 174 โรงงาน จังหวัดชลบุรี 116 โรงงาน จังหวัดปทุมธานี 95 โรงงาน และจังหวัดนครปฐม 83 โรงงาน ส่วนจังหวัดที่มีการขยายโรงงานมากที่สุดคือ จังหวัดสมุทรปราการ 43 โรงงาน จังหวัดสมุทรสาคร 40 โรงงาน จังหวัดปทุมธานี 30 โรงงาน จังหวัดชลบุรี 27 โรงงาน และจังหวัดระยอง 23 โรงงาน นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าพื้นที่ที่มีมูลค่าการลงทุนจดประกอบและขยายกิจการมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ จังหวัดสมุทรปราการ 13,720 ล้านบาท จังหวัดปราจีนบุรี 13,412 ล้านบาท จังหวัดนครปฐม 10,819 ล้านบาท จังหวัดระยอง 10,605 ล้านบาท และจังหวัดสุราษฎร์ธานี 10,076 ล้านบาท