ไซแมท เทคโนโลยี ขาย “ไซแมท ซอฟท์” (บริษัทย่อย) จำนวน 300,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ราคาซื้อขายหุ้นละไม่เกิน 66.67 บาท คิดเป็นมูลค่า 20 ล้านบาท ให้กับ “เอสพีพี อินเทลลิเจนซ์” ด้านบิ๊กบอส “ทองคำ มานะศิลปะพันธ์” ระบุนำเงินพัฒนา พร้อมเดินตามกลยุทธ์ที่วางไว้ เชื่อมั่นผลการดำเนินงานในปี 2561 เทิร์นอะราวนด์
นายทองคำ มานะศิลปะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซแมท เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (SIMAT) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 4/2561 มีมติอนุมัติในหลักการให้จำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัท ไซแมท ซอฟท์ จำกัด (บริษัทย่อย) ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นอยู่ 99.99% และเมื่อวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เข้าเจรจาและดำเนินการลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นสามัญของ “ไซแมท ซอฟท์” จำนวน 299,994 หุ้น รวมถึงเป็นผู้จัดหามาซึ่งหุ้นรวมทั้งหมด 300,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท คิดเป็นร้อยละ 100 ของจำนวนหุ้นที่จดทะเบียนและชำระแล้วทั้งหมด ในราคาซื้อขายหุ้นละไม่เกิน 66.67 บาท คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 20,000,000 บาท เพื่อขายให้แก่ บริษัท เอสพีพี อินเทลลิเจนซ์ จำกัด (บริษัทย่อยของบริษัท ซิงเกิ้ล พอยท์ พาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (SPPT) และส่งผลทำให้ “ไซแมท ซอฟท์” สิ้นสภาพการเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ โดยผู้ซื้อจะชำระค่าหุ้นทั้งหมดภายในวันที่ 29 มิถุนายน 2561
“บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการขาย “ไซแมท ซอฟท์” มาใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจหลักตามนโยบาย และมุ่งสร้างผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างมั่งคง และยั่งยืน ทั้งนี้ ส่งผลทำให้ปัจจุบัน บริษัทฯ มี 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มไซแมท เทคโนโลยี ดำเนินธุรกิจธุรกิจบริการเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร กลุ่มไซแมท เลเบล ดำเนินธุรกิจธุรกิจผลิตและจําหน่ายผลิตภัณฑ์เลเบล และกลุ่ม บ. E-Tech IT SDN, BHD. ดำเนินธุรกิจธุรกิจขายส่งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในมาเลเซีย” นายทองคำ กล่าว
นายทองคำ กล่าวอีกว่า เชื่อมั่นว่าด้วยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่วางไว้ใน 3 กลุ่มธุรกิจ เช่น การจัดโครงสร้างบริษัทฯ สู่การเป็น Broadband Company โดยเร่งขยายฐานลูกค้าด้วยกลยุทธ์ Business-to-Business เปลี่ยนจากเดิมที่เป็นแบบ Business To Consumer เพื่อเข้าถึงเจ้าของโครงการโดนตรง และกระจายความเสี่ยงของการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ ประกอบกับการเข้าซื้อหุ้น บริษัท ฮินชิซึ (ประเทศไทย) เพื่อรวมฐานลูกค้าของทั้งสองฝ่ายที่เป็นลูกค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์เข้าด้วยกัน จะช่วยสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานในปี 2561 ของบริษัทฯ จะสามารถกลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และพลิกมีกำไรในรอบ 5 ปี สร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ในระยะยาว