xs
xsm
sm
md
lg

SCB คาด กนง. คงดอกเบี้ยที่ 1.5% ตลอดปีนี้ แม้ประมาณการตัวเลข ศก. ปรับสูงขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


SCB EIC คาด กนง. คงดอกเบี้ยที่ 1.5% ตลอดปีนี้ แม้ประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจปรับสูงขึ้น เชื่อเริ่มทยอยขึ้นดอกเบี้ยต้นปีหน้า และจะเป็นการปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) คาดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ต่อเนื่องตลอดปี 2561 เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เข้มแข็งมากขึ้น และช่วยให้อัตราเงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้อย่างยั่งยืน ถึงแม้ กนง. จะปรับเพิ่มคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจในการประชุมรอบนี้ แต่ได้สื่อสารถึงความเสี่ยงต่อประมาณการที่ยังคงโน้มไปด้านต่ำ โดยเฉพาะจากประเด็นการกีดกันทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยผลกระทบโดยตรงต่อไทยอาจมีจำกัด เพราะสินค้าที่จะได้รับผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทานนี้ มีสัดส่วนมูลค่าน้อยเมื่อเทียบกับการส่งออกรวมของไทย แต่การกีดกันทางการค้าจะส่งผลโดยตรงต่อภาวะการค้าโลกที่อาจซบเซาลงมากกว่าที่คาดไว้เดิม ซึ่งจะมีผลต่อการขยายตัวเศรษฐกิจคู่ค้าของไทย และการส่งออกของไทยในช่วงต่อไปได้

SCB EIC มองว่า ประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ปรับสูงขึ้นเล็กน้อยนั้น ยังคงอยู่ใกล้ระดับล่างของกรอบเป้าหมาย อีกทั้งความเสี่ยงต่อประมาณการก็ยังคงโน้มไปด้านต่ำ จึงน่าจะยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของอัตราเงินเฟ้ออย่างยั่งยืนภายในปีนี้ กนง. จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องรีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้

ทั้งนี้ ต้องจับตาแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ และการสื่อสารด้านเสถียรภาพระบบการเงินของ กนง. ซึ่งจะเป็น 2 ปัจจัยหลักที่สะท้อนถึงจังหวะของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงข้างหน้า การประเมินของ กนง. นั้น สะท้อนได้ว่า การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันโลก (ปรับเพิ่มประมาณการราคาในปีนี้จาก 62.4 เป็น 69.2 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล) จะยังไม่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในปีนี้อย่างมีนัยสำคัญนัก อย่างไรก็ตาม หากราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นมาก หรือแรงกดดันด้านอุปสงค์เร่งตัวขึ้นมาก ก็อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง และมีความยั่งยืน ซึ่งเป็นเงื่อนไขหลักข้อหนึ่งของการปรับขึ้นดอกเบี้ยที่ กนง. สื่อสารไว้

นอกจากนี้ ต้องจับตาการสื่อสารของ กนง. ถึงความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินที่อาจเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจนภายใต้ภาวะดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่องยาวนาน โดยเฉพาะหากเป็นปัญหาในวงกว้างที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยมาตรการกำกับดูแลความเสี่ยง (macroprudential policy) ที่ดูแลความเสี่ยงได้เฉพาะจุด ก็อาจทำให้ กนง. ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวได้เช่นกัน

ขณะที่การดำเนินนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก และความกังวลเรื่องสงครามการค้าโลกส่งผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้าย และค่าเงินบาทในระยะสั้น แต่ไม่กระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวมจากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่เข้มแข็ง โดย กนง. ได้กล่าวถึงการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก และผลกระทบจากสงครามการค้าโลก ได้ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมา และจะมีแนวโน้มผันผวนต่อเนื่อง ซึ่งแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ของสหรัฐฯ และการปรับ guidance ต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกของกลุ่มยูโรโซน ที่ผ่านมานั้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และแนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ โดย SCB EIC พบว่า ในระยะสั้น นักลงทุนได้นำเม็ดเงินลงทุนออกจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จากความไม่แน่นอนที่ปรับสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม SCB EIC มองว่า ผลกระทบต่อการขยายตัว และเสถียรภาพเศรษฐกิจของไทย จะไม่รุนแรงนัก เนื่องจากไทยมีฐานการส่งออกที่กระจายตัว การลงทุนภาครัฐที่ช่วยเสริมอุปสงค์ในประเทศ และฐานะการเงินด้านต่างประเทศที่เข้มแข็ง สามารถเป็นกันชนรองรับความผันผวนที่มากขึ้นได้ สำหรับในระยะต่อไป เงินทุนเคลื่อนย้ายมีโอกาสที่จะไหลกลับเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียได้ เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่มีแนวโน้มการขยายตัวในเกณฑ์สูง และมีเสถียรภาพเศรษฐกิจที่ค่อนข้างเข้มแข็งเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มละตินอเมริกา ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลให้นักลงทุนจะสามารถเลือกลงทุนตามความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ ได้ ซึ่งสะท้อนได้จากผลกระทบต่อค่าเงินของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ในช่วงปีนี้เทียบกับช่วง Taper Tantrum ในปี 2546

SCB EIC มองว่า วัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในรอบนี้จะเริ่มต้นในปีหน้า และจะเป็นการปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยในการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น กนง. จะระมัดระวังเพื่อไม่ให้การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายส่งผลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของผู้ร่วมตลาด โดยเฉพาะในภาวะที่หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง และเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญในหลายมิติ

อนึ่ง ในการประชุม กนง. เมื่อวานนี้ (20 มิ.ย.) มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี โดยคณะกรรมการฯ ส่วนใหญ่ (5 ท่าน) มองว่า การคงอัตราดอกเบี้ยมีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ และช่วยให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้อย่างยั่งยืน ขณะที่กรรมการ 1 ท่านออกเสียงให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.50% เป็น 1.75% จากความกังวลด้านเสถียรภาพระบบการเงินเป็นสำคัญ โดยมีกรรมการ 1 ท่านลาประชุม

กนง. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวชัดเจนต่อเนื่อง และดีกว่าที่ประเมินไว้ในการประชุมครั้งก่อน กล่าวคือ การส่งออก และท่องเที่ยว ที่ขยายตัวตามเศรษฐกิจโลกยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ พร้อมทั้งอุปสงค์ในประเทศที่ปรับดีขึ้นกว่าที่ประเมินไว้เดิม โดย กนง. ได้ปรับคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2561 จาก 4.1% มาอยู่ที่ 4.4% และปรับคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจปี 2562 จาก 4.1% มาอยู่ที่ 4.2% นอกจากนี้ กนง. ได้ปรับคาดการณ์ทั้งการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชนขึ้น โดยปรับการบริโภคปี 2561 และ 2562 จาก 3.3% ทั้งสองปีมาอยู่ที่ 3.7% และ 3.6% ตามลำดับ และปรับการลงทุนภาคเอกชนปี 2561 และ 2562 จาก 3.0% และ 3.6% มาอยู่ที่ 3.7% และ 4.4%

อย่างไรก็ตาม กนง. ประเมินว่า ความเสี่ยงต่อการขยายตัวเศรษฐกิจยังโน้มไปด้านต่ำจากความไม่แน่นอนของผลกระทบจากสงครามการค้าโลก รวมทั้งยังแสดงความกังวลต่อกำลังซื้อของภาคครัวเรือนที่ยังคงฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ตลอดจนรายได้และการจ้างงานที่ยังไม่กระจายตัวทั่วถึง

กนง. ปรับประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปขึ้นเล็กน้อย แต่ยังอยู่ใกล้ขอบล่างของกรอบเป้าหมาย โดย กนง. ระบุว่า การขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ และราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้น แต่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ยังคงปรับสูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย นอกจากนี้ กนง. ยังคงระบุว่า อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง อาทิ ธุรกิจ e-Commerce และการแข่งขันด้านราคา โดย กนง. ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2561 มาอยู่ที่ 1.1% จากเดิมที่ 1.0% และคงประมาณการสำหรับปี 2562 ไว้เท่าเดิมที่ 1.2% ส่วนคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานนั้น มีการปรับเพิ่มประมาณการของปี 2562 ขึ้น จาก 0.8% มาอยู่ที่ 0.9%

กนง. ประเมินว่า ภาวะตลาดการเงินโดยรวมยังคงผ่อนคลาย ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนอ่อนค่าลงในรอบการประชุมนี้ โดยระบุว่า เงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับอ่อนค่าลง ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยต่างประเทศเป็นสำคัญ และในระยะข้างหน้า อัตราแลกเปลี่ยนยังมีแนวโน้มผันผวนต่อเนื่อง สำหรับภาวการณ์เงินด้านอื่นๆ กนง. ยังคงการสื่อสารที่คล้ายเดิม กล่าวคือ สภาพคล่องในระบบยังอยู่ในระดับสูง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังอยู่ในระดับต่ำ สินเชื่อขยายตัวเพิ่มขึ้น และระบบการเงินโดยรวมยังคงมีเสถียรภาพ แต่มีความเสี่ยงจากพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นที่ต้องติดตามใกล้ชิด


กำลังโหลดความคิดเห็น