“อภิชัย เตชะอุบล” ยันในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ “เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้” พร้อมใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนเต็มจำนวน มั่นใจหลังได้รับเงินเพิ่มทุนครั้งนี้ จะทำให้ธุรกิจฟื้นตัวได้รวดเร็ว ดันผลประกอบการกลับมาเทิร์นอะราวนด์ในไม่ช้า ที่สำคัญจะทำให้ฐานะการเงินแข็งแกร่ง ส่วนทุนแข็งแรงขึ้นทันที พร้อมส่งทีมผู้บริหารรุ่นใหม่ เดินหน้าปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ เร่งลดต้นทุน ปิดสาขาไม่ทำกำไร พร้อมเพิ่มร้านอาหารแบรนด์ใหม่ๆ มากขึ้น อัดโปรโมชันให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่
นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการ บริษัท เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JCKH เปิดเผยว่าในฐานะกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่มีพร้อมจะใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามจำนวน เพราะมั่นใจว่าการดำเนินธุรกิจของ JCKH ยังมีอนาคตที่สดใส โดยขณะนี้มีสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหากผู้ถือหุ้นทุกคนเชื่อมั่นและมาใช้สิทธิเพิ่มทุน จะทำให้สามารถระดมทุนได้ตามเป้าหมาย ดังนั้น จะทำให้ JCKH มีเงินทุนสนับสนุน และผลักดันให้บริษัทเทิร์นอะราวด์ได้ในเร็ววัน
ทั้งนี้ JCKH ดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 121.80 ล้านบาท เป็น 194.88 ล้านบาท โดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน 292.32 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท โดยจัดสรรให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม (Rights Offering) ในอัตราส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาเสนอขายหุ้นละ 1.30 บาท ซึ่งมีกำหนดวันจองซื้อเพื่อชำระค่าหุ้นในวันที่ 18-22 มิถุนายน 2561 และอีกส่วนจำนวนไม่เกิน 48.72 ล้านหุ้น เสนอขายในคราวเดียว หรือแบ่งเป็นส่วนๆ ให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement)
“เงินที่คาดว่าจะได้รับจากการเพิ่มทุน RO ครั้งนี้ ประมาณ 317 ล้านบาท จะทำให้มีส่วนของทุนเพิ่มขึ้นเป็น 318 ล้านบาท จากเดิมที่มีอยู่เพียง 1 ล้านบาท หนี้ต่อทุนลดจาก 454 เท่า เหลือเพียง 1.6 เท่า และหากบริษัทฯ ได้รับเงินจากขายหุ้น PP อีก 63 ล้านบาท จะทำให้มีส่วนของทุนเพิ่มขึ้นเป็น 381 ล้านบาท และจะทำให้หนี้ต่อทุนลดลงเหลือเพียง 1.3 เท่า ดังนั้น การเพิ่มทุนในครั้งนี้จะทำให้บริษัทฯ มีฐานทุน และฐานะทางการเงินที่เข้มแข็งขึ้น โดยเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนครั้งนี้ จะนำไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับขยายธุรกิจ และซื้อกิจการร้านอาหารแบรนด์ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา เพื่อสร้างรายได้ และกำไรให้บริษัทฯ เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งต่อไปในอนาคต”
นอกจากนี้ การที่บริษัทส่งทีมผู้บริหารใหม่ นำโดยนายโชติวิทย์ เตชะอุบล เข้ามาปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใหม่ เริ่มตั้งแต่การรีแบรนด์ เพื่อโฟกัสกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน และมีการเร่งลดต้นทุน และเพิ่มโปรโมชันใหม่ มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการทำกำไรอยู่ในระดับที่ดีขึ้น ขณะเดียวกัน จะมีเพิ่มเติมร้านอาหารใหม่เข้าอีก 2-3 แบรนด์ โดยมีแผนจะเข้าซื้อกิจการร้านอาหารเพิ่ม รวมถึงมีการนำแบรนด์ที่มีชื่อเสียงเข้ามาทั้งอาหารจีน อิตาเลียน และแฮมเบอร์เกอร์ เป็นต้น
สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจปัจจุบันมั่นใจว่า ในอนาคต จะมีโอกาสเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากปีที่ผ่านมา ได้มีการปิดสาขาของร้านฮอท พอท สุกี้ชาบู ประมาณ 40 สาขา ทำให้ปัจจุบัน JCKH มีสาขาของ ฮอท พอท และแบรนด์อื่นๆ ภายใต้การบริหารรวม 102 แห่ง เพื่อลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ ควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนการผลิตอาหาร (food cost) และการเปิดสาขาใหม่ๆ เพิ่มขึ้นในอนาคต จะต้องคำนึงถึงโลเคชันเป็นสำคัญ โดยจะเน้นเรื่องของการสร้างผลประกอบการที่ดีควบคู่กันไป ไม่ใช่มุ่งเน้นการขยายสาขาให้มีจำนวนมากอีกแล้ว ภาพรวมผลประกอบการในปี 2561 คาดว่าจะฟื้นตัวจากงวดเดียวกันของปีก่อนหลังจากที่มีการปรับแผนกลยุทธ์ใหม่เข้ามา และจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งหลังของปีนี้