xs
xsm
sm
md
lg

(รับชมคลิป) บล. กสิกรไทย ปรับเป้า GDP แตะ 4.5% หุ้นไทยแกว่งกรอบ 1,898 จุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย
บล. กสิกร ปรับประมาณการเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยเป็น 1,898 จุด เหตุแนวโน้ม GDP เติบโตขึ้นแตะ 4.5% แนะจับตาปัจจัยต่างประเทศกระทบตลาดหุ้นไทย ชี้หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และอสังหาฯ โดดเด่น รับเศรษฐกิจพุ่ง



นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กสิกรไทย กล่าวว่า เราได้มีการปรับประมาณการเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET Index ในปีนี้เป็น 1,898 จุด จากเดิมซึ่งวางไว้ที่ประมาณ 1,888 จุด เนื่องจากแนวโน้มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ที่มีทิศทางบวกเพิ่มขึ้นเป็น 4.5% จากเดิมซึ่งอยู่ที่ประมาณ 4% โดยการปรับตัวที่เพิ่มขึ้นนั้น มาจากอานิสงส์ของภาคการท่องเที่ยว และการส่งออก ที่เติบโตขึ้นอย่างชัดเจน ตลอดจนถึงการบริโภคนอกภาคเกษตร ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการลงทุนภาครัฐ และเอกชน มีแนวโน้มยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากตัวเลขการจัดซื้อจัดจ้างปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มรัฐวิสาหกิจเช่าภาคพลังงาน อย่าง บมจ.ปตท. เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม สำหรับหุ้นกลุ่มที่มีผลประกอบการอ้างอิงตามเศรษฐกิจของประเทศจะได้รับประโยชน์ มีอยู่ 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่มียอดปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ไม่มีความกังวลต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามยอดการปล่อยสินเชื่อใหม่ โดยการปรับตัวเพิ่มในรอบใหม่ นับว่าต่ำสุดในรอบ 3 ปี โดยคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 2.9-3% เท่านั้น โดยหุ้นที่คาดว่าจะมีความโดดเด่นได้แก่ BBL, KTB, TISCO

2. หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่ปีนี้มีแผนการเปิดโครงการรวมทั้งหมด 266 โครงการ (อ้างอิงจาก 9 บริษัท) ที่มีมูลค่ารวมกว่า 3.4 แสนล้านบาท โดยได้มีการเปิดโครงการในไตรมาสที่ 1/2561 ไปแล้วกว่า 40,000 ล้านบาท และคาดว่าไตรมาสที่ 2/2561 จะเปิดโครงการอื่นๆอีกรวมมูลค่าโครงการกว่า 60,000 ล้านบาท ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลัง มองว่าจะเปิดโครงการใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ คือ เปิดโครงการเฉลี่ยไตรมาสละ 1.2 แสนล้านบาท จากผู้ประกอบการที่มีความมั่นใจในอุปสงค์ และเศรษฐกิจที่ยังเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ โดยหุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์ ได้แก่ AP, LH, SPALI, QH และ ORI

ส่วนกลุ่มที่มองว่าน่าสนใจจากความเกี่ยวเนื่องกัน ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และเริ่มมีการขายซองเอกสารเชิญชวนประมูล (TOR) ในช่วงที่ผ่านมา และได้รับประโยชน์จากความชัดเจนในการเลือกตั้ง ที่ทำให้คาดว่าจะมีการเร่งเปิดประมูลโครการต่างๆ ในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งในกลุ่มนี้หุ้นที่มีความโดดเด่น ได้แก่ STEC, CK

ขณะที่กลุ่มค้าปลีก ซึ่งมีการเติบโตด้านผลประกอบการในระดับที่ดี เช่น CPALL, CPN, BEAUTY และกลุ่มส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ เช่น KCE ซึ่งได้รับผลดีตามเศรษฐกิจโลกที่เติบโต

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนจะต้องจับตามองปัจจัยในต่างประเทศ ได้แก่ การประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในสัปดาห์หน้า


กำลังโหลดความคิดเห็น