บล.กสิกรไทยเผยลดเป้า SET Index เหลือ 1,888 จุด เหตุกำไรกลุ่มแบงก์ วูบจากการยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมทำให้กระทบต่อภาพรวมของกำไรทั้งหมด แนะจับตา พรป. คาดเห็นความชัดเจนนำไปสู่การเลือกตั้งได้ภายในต้นปี 2562 ชี้หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มสื่อสาร น่าลงทุน เพราะราคายังไม่ปรับขึ้น
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในไตรมาสที่ 2 /2561 ว่า บล. กสิกร ได้มีการปรับลดเป้าดัชนี SET Index จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 1,914 จุด ล่าสุด ได้มีการปรับประมาณการณ์ดัชนีลดลงมาเหลือ 1,888 จุด ซึ่งถือเป็นการปรับลดลงครั้งแรกของปีนี้ สาเหตุที่ปรับลงมาจากการปรับลดประมาณการกำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หลังจากที่กลุ่มธนาคารมีการยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมการโอน หรือการจ่ายบิลผ่านแอปพลิเคชันหรือช่องทางดิจิทัล ซึ่งส่งผลต่อรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยในปีนี้ ทำให้กระทบต่อภาพรวมของกำไรทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม มองว่าเป้าดัชนีที่ 1,888 จุด ยังเชื่อว่า ตลาดหุ้นไทยยังสามารถปรับตัวขึ้นไปอีกได้ภายในปีนี้ โดยคาดว่าจะเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คือ ตั้งแต่หลังเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป เนื่องจากว่าจะมีความชัดเจนในหลายประเด็น ได้แก่ ปัจจัยในต่างประเทศในกรณีความขัดแย้งระหว่างอเมริกาและประเทศจีน มองว่าน่าจะมีการบรรลุข้อตกลงกันได้ ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีของโลก เพราะจะสามารถบรรเทาความตึงเครียดเรื่องสงครามทางการค้าลงได้ และมองว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นเพราะส่งผลเสียต่อทุกฝ่าย
ขณะที่ปัจจัยในประเทศนั้น ประเด็นสำคัญยังคงอยู่ที่น้ำหนักเรื่องการเลือกตั้ง และการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ หรือ พรป. ในส่วนของการได้มาซึ่ง สว. และการเลือกตั้ง สส. ซึ่งเชื่อว่าจะมีคำตัดสินในช่วงวันที่ 23 ถึงวันที่ 30 พฤษภาคมนี้ ถ้าหากว่า พรป. ทั้งสองฉบับนี้ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ก็จะนำเข้าสู่กระบวนการขึ้นทูลเกล้าเพื่อลงพระปรมาภิไธย และประกาศใช้เป็นกฎหมาย โดย พรป. การได้มาซึ่ง สว. คาดว่าน่าจะประกาศเป็นกฎหมายได้ภายในเดือนกันยายนนี้ ส่วน พรป. การเลือกตั้ง สส. คาดว่าจะสามารถประกาศใช้เป็นกฎหมายได้ภายในเดือนพฤศจิกายน และนำไปสู่กระบวนการของ กกต. ในการจัดการการเลือกตั้ง ภายใน 150 วันหลังจากประกาศใช้กฎหมาย
“ทั้งนี้ ประเมินว่า กกต. จะใช้ระยะเวลาในการดำเนินงานไม่เกิน 120 วัน นั่นหมายความว่าจะสามารถจัดการเลือกตั้งได้ภายในไตรมาส 1/2562 นอกจากนี้ ยังมีในส่วนของ พ.ร.บ. ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งมีน้ำหนักในการดึงความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งถือได้ว่าเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทย”
ขณะที่มูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม เฉลี่ยแล้วยังต่ำกว่าปริมาณการซื้อขายในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 6.5 หมื่นล้านบาท แต่ ณ ปัจจุบันนี้ ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 50,000 ถึง 60,000 ล้านบาทเท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่าเม็ดเงินหมุนเวียนการลงทุนในประเทศเริ่มปรับตัวลดลง ซึ่งหากว่าปลายเดือนนี้ทุกอย่างมีความชัดเจนมากขึ้นอาจจะได้เห็นเม็ดเงินจากต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยชัดเจนมากขึ้น ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,888 จุด ได้อย่างไม่ยาก
ในส่วนของแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศจากการประเมินของธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติ ในช่วงไตรมาสแรกมีการเติบโตในระดับที่ดีมาก ได้แก่ อัตราการส่งออกที่เติบโตต่อเนื่อง ธุรกิจการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนของภาคเอกชน ตลอดจนถึงความคาดหวังการลงทุนของภาครัฐ ในช่วงครึ่งปีหลังเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น
“ฉะนั้น ในไตรมาสหนึ่ง / 2561 ประเมินจีดีพีไว้ที่ 4.2% ส่วนทั้งปีคาดการณ์ไว้ที่ 4% และจากตัวเลขการเติบโตของจีดีพีที่ผ่านมา จะเป็นภาพสะท้อนว่า ตลาดหุ้นไทยจะมีการเติบโตในระดับที่น่าพอใจได้”
ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรม ที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์ ซึ่งก่อนหน้านี้มีการปรับลดลง และคาดว่าจะปรับฟื้นตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์, กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์, กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มสื่อสาร ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งที่นักลงทุนจะเข้าทยอยเก็บสะสม เนื่องจากราคายังถูกอยู่ และไม่ปรับตัวขึ้นมาสูงมากนัก