ดีโอดี ไบโอเทค ปลื้มหลังประสบความสำเร็จจากการเดินสายโรดโชว์นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนทั่วไป ในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน 110 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท ตอกย้ำจุดเด่นการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ครบวงจร พร้อมเดินหน้าเสนอขายหลักทรัพย์ กลาง มิ.ย. นี้ หวังนำเงินระดมทุน ลงทุนสร้างโรงงานสกัดวัตถุดิบ (โรงที่ 2) ห้องปฏิบัติการวิจัยระดับสากล พัฒนาตราสินค้าใหม่ในอนาคต
นายคมกฤต มีคำสัตย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD เปิดเผยว่า การนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) กับนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนทั่วไป ของ DOD ในช่วงที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับในทิศทางที่ดี เพราะมีนักลงทุนสนใจเข้าร่วมรับฟังข้อมูลกันอย่างล้นหลาม และคาดว่าจะเปิดให้มีการจองซื้อหลักทรัพย์ พร้อมทั้งเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ภายในช่วงเดือนมิถุนายนนี้
สำหรับความโดดเด่นของ DOD นอกจากการเป็นผู้รับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แล้วมองว่า DOD ยังมีทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อทำหน้าที่ค้นคว้าวิจัยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างต่อเนื่อง เน้นนวัตกรรมการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ตามความต้องการของลูกค้า และสอดคล้องกับสถานการณ์ของตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ตรงต่อความต้องการของตลาดปัจจุบัน และอนาคต เพื่อสามารถตอบโจทก์ลูกค้า เพื่อสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า
“จากการโรดโชว์ให้ข้อมูลของ DOD กับนักลงทุนในช่วงที่ผ่านมา สร้างความเข้าใจถึงการดำเนินธุรกิจของ DOD ให้กับนักลงทุนเป็นอย่างมาก และมีกระแสตอบรับเป็นอย่างดี เพราะถือว่าเป็นการดำเนินธุรกิจที่มีศักยภาพในอนาคต และผลการดำเนินงานที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น เชื่อว่า DOD จัดเป็นหุ้นที่มีการเติบโตแบบมั่นคง และยั่งยืนในระยะยาว” นายคมกฤต กล่าว
นางสาวศุภมาส อิศรภักดี ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD กล่าวว่า หากพิจารณาจากความแข็งแกร่งทางธุรกิจ DOD ถือว่าเป็นผู้นำด้านการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรูปแบบรับจ้างพัฒนาและผลิต (ODM) ที่มีส่วนประกอบหลักมาจากสารสกัดจากธรรมชาติ และให้บริการครบวงจร แบบ One Stop Service และยังถือว่าเป็นบริษัทฯ แรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เป็นโรงงานผลิตอาหารเสริมแบบ ODM
นอกจากนี้ DOD ยังให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพราะเชื่อว่า การวิจัยและพัฒนาเป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จในธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ดังนั้นบริษัทฯ จึงมุ่งเน้นการศึกษาพัฒนาคุณสมบัติใหม่ๆ ของพืชสมุนไพร เพื่อนำมาต่อยอดให้เกิดนวัตกรรม และตอบสนองความต้องการของลูกค้า และผู้บริโภค
“นวัตกรรมการพัฒนาและการวิจัยในการคิดค้นสูตรเพื่อการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เราต้องใช้บุคลากรที่มีความสามารถ โดยเฉพาะนักวิชาการทั้งภาครัฐบาล และเอกชน เข้ามาร่วมวิจัยและพัฒนาการคิดค้นสูตรต่างๆ ของโรงงาน ทั้งนี้ DOD ยังได้รับการรับรองความน่าเชื่อถือภายใต้มาตรฐาน ISO22000:2005, HACCP, GMP Codex และ HALAL รวมถึงยกระดับการผลิต โดยการผลิตในห้องปลอดเชื้อ (Clean Room) ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตเดียวกับการผลิตผลิตภัณฑ์ยา มาใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เนื่องจากนโยบายหลักของ DOD คือ การใส่ใจดูแลลูกค้า และรักษาความลับทางการค้า ทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจที่จะผลิตสินค้ากับ DOD ซึ่งปัจจัยดังกล่าวถือว่าเป็นจุดแข็งที่ได้เปรียบในการดำเนินธุรกิจ ดังนั้น จึงเป็นเครื่องตอกย้ำที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพ และความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนได้เป็นอย่างดี” นางสาวศุภมาส กล่าว
สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำไปใช้เพื่อลงทุนในโรงงานสกัดวัตถุดิบ (โรงที่ 2) ที่มีเทคโนโลยี และเครื่องจักรที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตวัตถุดิบประเภทสารสกัดเพิ่มเติม และให้มีความหลากหลายในการผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และลงทุนในห้องปฏิบัติการวิจัยระดับสากล เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติเฉพาะของสารสกัดที่ได้จากโรงสกัด และเพื่อวิจัยสารออกฤทธิ์ที่สามารถนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทฯ รวมถึงเพื่อใช้พัฒนาตราสินค้าใหม่ของบริษัทฯ ได้แก่ ตราสินค้าเพื่อตอบสนองกลุ่มผู้สูงอายุ ที่มุ่งเน้นการมีสุขภาพที่ดี และตราสินค้าสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสมุนไพรตรีผลาที่มีคุณสมบัติช่วยดูแลสุขภาพ ฟื้นฟูระบบการทำงานของร่างกาย ช่วยในระบบย่อย และขับถ่าย นอกจากนี้ จะนำเงินไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
นางนิสาภรณ์ ฤกษ์อร่าม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวเสริมว่า บมจ. ดีโอดี ไบโอเทค มีอัตราผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยผลการดำเนินงานที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น ซึ่งจะเห็นได้จากผลดำเนินงานของบริษัทฯ ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2558 จนถึงล่าสุดไตรมาส 1/2561 มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง และก้าวกระโดด
ปี 2558 มีรายได้รวม 385.36 ล้านบาท กำไรสุทธิ 128.89 ล้านบาท ปี 2559 มีรายได้รวม 368.37 ล้านบาท กำไรสุทธิ 138.78 ล้านบาท ปี 2560 มีรายได้รวม 388.56 ล้านบาท กำไรสุทธิ 142.19 ล้านบาท ส่วนผลการดำเนินงานงวดล่าสุดไตรมาส 1/2561 บริษัทฯ มีรายได้รวม 214.56 ล้านบาท กำไรสุทธิ 111.21 ล้านบาท ซึ่งจากผลประกอบการที่โตอย่างก้าวกระโดด จึงเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการขยายตัวทางธุรกิจที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต