ผู้บริหาร “ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง” ปลื้ม สองโรงไฟฟ้าคว้ารางวัลดีเด่น ด้านพลังงานทดแทนในงาน Thailand Energy Awards 2018 ตอกย้ำภาพผู้นำด้านพลังงานทดแทนของไทย ลั่นเดินหน้าพัฒนาโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ต่อเนื่อง เตรียม COD อีก 4 โครงการในปีหน้า กำลังการผลิตรวม 49 เมกะวัตต์ ลั่นเป้าหมายโรงไฟฟ้าชีวมวลเพิ่มเป็น 200 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะรวมเป็น 50 เมกะวัตต์ภายในปี 2563 พร้อมก้าวขึ้นแท่นผู้นำพลังงานทดแทนในอาเซียนใกล้แค่เอื้อม
นางกนกทิพย์ จันทร์พลังศรี ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH ผู้ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เปิดเผยว่า บริษัทฯ โดย “โรงไฟฟ้าช้างแรกไบโอเพาเวอร์” และ “โรงไฟฟ้า แม่วงศ์เอ็นเนอร์ยี” สามารถคว้ารางวัลดีเด่นจากการประกวด THAILAND ENERGY AWARDS 2018 ในด้านพลังงานทดแทน ประเภทโครงการที่เชื่อมโยงกับระบบสายส่งไฟฟ้า (On-Grid) ซึ่งจัดขึ้นโดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน การประกวดประจำปีนี้ มีผู้สนใจส่งผลงานเข้าประกวดทั้งสิ้น 268 ราย คัดเลือกผู้ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 69 รางวัล โดยรางวัลดังกล่าวถือเป็นสุดยอดรางวัลด้านพลังงานทดแทน ซึ่งเป็นการตอกย้ำความเป็นมืออาชีพ ความเชี่ยวชาญ และความเป็นผู้นำในด้านการพัฒนาโรงไฟฟ้า และกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพด้านพลังงานทดแทนอย่างแท้จริง จนได้รับการยอมรับในปัจจุบัน
“เรื่องพลังงานทดแทนในตอนนี้ บริษัทฯ ถือว่าได้รับการยอมรับในระดับประเทศไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งด้านพัฒนาโรงไฟฟ้า รวมถึงการผลิตไฟฟ้าที่มีคุณภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นที่จะเสริมสร้างการจัดสรรโรงไฟฟ้าใหม่ๆ เพื่อความมั่นคงในระดับที่เหมาะสมเพื่อรองรับการจัดทําแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan) ของประเทศไทยภายใต้เสาหลัก 3E คือ 1. Energy Security ด้านความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้า 2. Economic ด้านเศรษฐกิจ 3. Environmental Friendly ด้านสิ่งแวดล้อม และปรับปรุงการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของบริษัทฯ อย่างมีประสิทธิภาพ” นายเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวเสริม
สำหรับโรงไฟฟ้าช้างแรกไบโอเพาเวอร์ (CRB) มีปริมาณการขายไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 9.2 เมกะวัตต์ รายได้จากการขายไฟฟ้าในระบบ Feed-in Tariff (FiT) ราคารับซื้อไฟฟ้าสุทธิ 4.45 บาทต่อหน่วยขาย ในไตรมาส 1/2561 สามารถผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อจําหน่ายเป็นจํานวน 19,575,975 หน่วย ส่วนโรงไฟฟ้าแม่วงศ์เอ็นเนอร์ยี (MWE) มีปริมาณการขายไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 8.0 เมกะวัตต์ รายได้จากการขายไฟฟ้าในระบบ Feed-in Tariff (FiT) ราคารับซื้อไฟฟ้าสุทธิ 4.45 บาทต่อหน่วยขาย ในไตรมาส 1/2561 สามารถผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อจําหน่ายเป็นจํานวน 17,095,886 หน่วย
นายเชิดศักดิ์ กล่าวต่อด้วยว่า ปัจจุบัน บริษัทฯ การดําเนินการจําหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์มีทั้งสิ้นจํานวน 6 โครงการ ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าชีวมวลช้างแรก ไบโอเพาเวอร์ (CRB), โรงไฟฟ้าชีวมวลแม่วงศ์ เอ็นเนอยี่ (MWE), โรงไฟฟ้าชีวมวลมหาชัย กรีน เพาเวอร์ (MGP), โรงไฟฟ้าชีวมวลทุ่งสัง กรีน (TSG) โรงไฟฟ้าชีวมวล พัทลุง กรีน เพาเวอร์ (PGP) และโรงไฟฟ้าชีวมวลสตูล กรีน เพาเวอร์ (SGP) กำลังการผลิตรวม 60 เมกะวัตต์ และขณะนี้มีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 4 โครงการ ซึ่งมีแผนที่จะจําหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในปี 2562 กำลังการผลิตรวม 49 เมกะวัตต์ รวมทั้งมีโครงการที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาทั้งสิ้น 10 เมกะวัตต์
“เรามีโครงการที่ COD แล้ว และที่กำลังก่อสร้างตลอดจนโครงการกำลังพัฒนา รวมทั้งสิ้น 119 เมกะวัตต์ และการดำเนินงานที่เป็นไปตามแผน ทำให้มั่นใจว่าบริษัทฯ จะมีโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลเพิ่มเป็น 200 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะรวมเป็น 50 เมกะวัตต์ภายในปี 2563 และก้าวขึ้นเป็นผู้นำพลังงานทดแทนในประเทศ และอาเซียน ได้ตามเป้าหมาย” นายเชิดศักดิ์ กล่าว