ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาสแรกปีนี้ ส่วนใหญ่ประกาศออกมาแล้ว โดยผลกำไรในภาพรวมดูดี แต่ถ้าแยกเป็นรายบริษัท มีจำนวนไม่น้อยที่ผลกำไรย่ำแย่ จนนักลงทุนที่ถือหุ้นไว้นอนไม่หลับ เพราะหุ้นถูกถล่มขาย จนราคารูดลงหนัก
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แถลงผลกำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาสแรก โดยรวมรวบจาก 544 บริษัทที่แจ้งงบการเงินเสร็จสิ้น หรือคิดเป็น 93.79 % ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 580 แห่ง ปรากฏว่า มีผลกำไรสุทธิ 286,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับจากก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ในรอบ 43 ปี
แต่เติบโตเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนเพียง 0.30 % เท่านั้น
ผลกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมยังเติบโต แต่ผลกำไรบริษัทจดทะเบียนหลายสิบแห่กลับทรุดฮวบ
ผลประกอบการที่พลิกผัน ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะหุ้นขนาดเล็กเท่านั้น หุ้นขนาดใหญ่ปัจจัยพื้นฐานดี หุ้นขนาดกลางที่ผลประกอบการเติบโตอย่างคงเส้นคงวาหลายปีติดต่อก็ทรุดตามไปด้วย
หุ้นปูนใหญ่หรือบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ถูกถล่มขาย จนราคารูดลงหลังจากประกาศผลกำไรไตรมาสแรกที่ชะลอตัวลง 28.64 %
หุ้น ปตท.ที่กำไรเก็งกำไรข่าวการแตกพาร์อย่างสนุกสนาน ต้องสะดุดลง หลังประกาศกำไรสุทธิลดลง 13.82 %
และยังมีหุ้นหลายตัวที่ราคาดิ่งแรง เพราะผลกำไรออกมาน่าผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็นบริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SGP หุ้น บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD หุ้นบริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO
ยังไม่นับรวมหุ้นที่พลิกจากกำไรกลายเป็นขาดทุนอีกหลายสิบบริษัท
บริษัทที่ผลกำไรลดลงกว่า 90 % มีจำนวนไม่น้อยกว่า 20 บริษัท ส่วนบริษัทที่พลิกจากกำไรกลายเป็นขาดทุน มีมากกว่า 30 บริษัท และราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียนเหล่านี้ต้องถอยร่นลงมาตามผลประกอบการ
เทศกาลประกาศงบการเงินไตรมาสแรกปี 2561 ทำให้นักลงทุนกลุ่มหนึ่งต้องตกสวรรค์ ขายหุ้นไม่ทัน เพราะไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่า ผลกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ลงทุนไว้จะตกต่ำ
เว้นแต่คนที่มีข้อมูลวงใน หรืออินไซเดอร์เท่านั้น ซึ่งสามารถชิงเทขายได้ก่อน หลีกเลี่ยงความเสียหายรุนแรงได้ และหุ้นหลายตัวก็สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมอินไซด์ โดยราคาหุ้นทรุดตัวลงล่วงหน้า ก่อนบริษัทจะประกาศข่าวร้าย ผลกำไรทรุด
แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่มีสัญญาณบอกเหตุร้าย จึงไม่มีโอกาสเตรียมการรับมือปัจจัยลบที่กระทบราคาหุ้น
จะรู้ว่าผลประกอบการทรุด เมื่อบริษัทจดทะเบียนแจ้งงบการเงินมาที่ตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น ซึ่งสายเกินไปที่จะถอยแล้ว นอกจากยอมตัดขาดทุน แห่กันเทขายในลักษณะหนีตาย
ผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้ จะทำให้นักลงทุนต้องเกาะติดการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในแต่ละไตรมาสมากขึ้น เพราะหากไม่ติดตาม อาจเสียหายหนัก ขายหุ้นทิ้งไม่ทัน โดยเวลาใกล้ประกาศงบการเงิน อาจต้องสังเกตความเคลื่อนไหวราคาหุ้นไว้
หุ้นบริษัทจดทะเบียนรายใดมีแรงขายมากกว่าปกติ ราคาปรับตัวลงอย่างผิดสังเกต อาจตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน ผลประกอบการอาจไตรมาสนั้นอาจไม่ดี อินไซเดอร์จึงชิงขายหุ้นก่อน
การประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนแต่ละไตรมาส กลายเป็นอีกปัจจัยความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังกันแล้ว
เพราะถ้าไม่เฝ้าระวัง อาจตกอยู่ในภาวะต้องขายหุ้นหนีตาย เหมือนนักลงทุนหนีตายจากบริษัทจดทะเบียนที่ผลประกอบการไตรมาสแรกทรุดหนัก
(สั่งจองหนังสือ “หุ้นวายร้าย” ราคาเล่มละ 190 บาท จากราคาเต็ม 240 บาท โทร. 0-2629-2700 , 08-2782-8353 , 08-2782-8356 )