อสังหาฯ ไทยเนื้อหอม “เพอร์เฟค จับมือ ฮ่องกง แลนด์” รุกอสังหาฯ ตลาดโครงการบ้านเดี่ยวไฮเอนด์ วางเป้าใน 5 ปี เปิด 4 โครงการ มูลค่า 20,000 ล้านบาท นำร่อง 2 โครงการแรกในปีหน้ากว่า 10,000 ล้านบาท “ชายนิด” มั่นใจขึ้นอันดับผู้นำตลาดบ้านไฮเอนด์ ชี้พันธมิตรหนุนต้นทุนโครงการลดลงกว่า โนฮาวน์การทำโครงการ
นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ "PF" กล่าวว่า บริษัทได้ลงนามในสัญญาความร่วมมือกับ ฮ่องกง แลนด์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก โดยเป็นครั้งแรกของความร่วมมือกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากต่างประเทศ ในการพัฒนาโครงการแนวราบ ทั้งนี้ ได้มีการตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้น คือ บริษัท เอชเคแอล เพอร์เฟค จำกัด (HKL Perfect Co.,Ltd.) มีทุนจดทะเบียนเบื้องต้น 1 แสนบาท แต่ไม่เกิน 1,200 ล้านบาท โดยพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์คเฟค ถือหุ้น 51% และอีก 49% ถือหุ้นโดย ฮ่องกง แลนด์ ซึ่งตามแผนการลงทุนแล้วภายใน 5 ปี (2561-2565) จะมีโครงการร่วมลงทุนพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ ประมาณ 4 โครงการ มูลค่าโครงการ 20,000 ล้านบาท หรือโครงการละ 4,000-5,000 ล้านบาท ทุกโครงการที่ร่วมทุนกับฮ่องกง แลนด์ จะพัฒนาภายใต้แบรนด์ “เลค รีสอร์ท”
โดยในเบื้องต้นจะร่วมกันพัฒนา 2 โครงการ ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2562 ในทำเลแจ้งวัฒนะและทำเลโซนตะวันออกของกรุงเทพฯ มูลค่าโครงการรวม 10,000 ล้านบาท และยังมีเป้าหมายที่จะร่วมกันในระยะยาว โดยมีแผนร่วมทุนพัฒนาโครงการต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมองถึงความร่วมมือในรูปแบบอื่นๆ เพิ่มเติมอีกด้วย
“เป็นครั้งแรกที่เราทำโครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์เนื้อที่ถึง 100 ไร่ต่อโครงการ จากปกติ เพอร์เฟค จะมีเนื้อที่โครงการ 30-40 ไร่ ดังนั้น เราจะอาศัยความรู้ของฮ่องกง แลนด์มาเสริม นอกเหนือจากเรื่องสมาร์ทซิตี ที่จะต้องเกิดขึ้นในโครงการ ขณะเดียวกัน ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ต้นทุนการพัฒนาโครงการลดลง เนื่องจากจะมีการสนับสนุนทางด้านการเงิน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยของโครงการลดลงกว่า 1% และยังเป็นผลดีกับโครงการร่วมทุนที่กลุ่มเพอร์เฟค ร่วมกับบริษัทซูมิโตโม ฟอเรสทรี จากญี่ปุ่นก่อนหน้านี้” นายชายนิดกล่าว และย้ำว่า หลังจากการร่วมทุนกับฮ่องกง แลนด์ แล้ว เพอร์เฟค มีนโยบายที่จะผลักดันให้แบรนด์มาสเตอร์พีซ เข้าไปรุกขยายตลาดโครงการบ้านเดี่ยวระดับไอเอนด์ให้มากขึ้น โดยวางเป้าภายในปี 2563 จะก้าวสู่เป็นผู้นำตลาดบ้านเดี่ยวระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป จากปัจจุบันที่เพอร์เฟค มีส่วนแบ่งตลาด 1ใน 3 (ปัจจุบัน LH และ SC มีส่วนแบ่งมากที่สุด)
สำหรับรูปแบบโครงการร่วมทุนนั้น นายชายนิด กล่าวถึงโครงการนำร่องบนทำเลแจ้งวัฒนะ ใกล้ทางด่วน ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู ขนาดพื้นที่โครงการ 130 ไร่ พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ในคอนเซ็ปต์ Lake Resort จำนวน 179 ยูนิต ระดับราคา 20-45 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 4,290 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวได้ในต้นปีหน้า สำหรับอีกหนึ่งโครงการในทำเลฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ ขณะนี้บริษัทมีที่ดินพร้อมพัฒนา ขนาดประมาณ 200 ไร่ โดยอยู่ระหว่างการวางแผน จุดเด่นของโครงการเป็นแนวคิด ซึ่งบริษัทไม่เคยพัฒนามาก่อน นั่นคือ บ้านหรูริมทะเลสาบในโครงการขนาดใหญ่ โดยโครงการจะมีความเป็น สมาร์ท ซิตี้ เต็มรูปแบบ จะมีบ้านริมทะเลสาบยูนิตพิเศษ ขนาดพื้นที่ 1 ไร่ ระดับราคา 100 ล้านบาท นับเป็นสินค้าหายากที่ไม่มีในตลาด
“เราคาดว่า รายได้จากโครงการร่วมทุนจะเริ่มเข้ามาในปีหน้า และในแผนแล้ว สัดส่วนรายได้จากโครงการร่วมทุนทั้งหมดของกลุ่มเพอร์เฟค คาดว่าภายในปี 2563 สัดส่วนจะอยู่ประมาณ 50% ในส่วนของการจัดหาที่ดินพัฒนาโครงการนั้น ปีนี้ตั้งไว้ 4,000 ล้านบาท ใช้ไปแล้ว 2,000 ล้านบาท ครึ่งปีหลังยังไม่มีแผนที่จะจัดซื้อ ส่วนเป้ารายได้ปีนี้ คาดว่าจะทำได้ 20,000 ล้านบาท และจะขยับเพิ่มเป็น 30,000 ล้านบาทในปี 2563”
นอกจากนี้ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ฯ ยังอยู่ในระหว่างการเจรจาร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น ที่ดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่อันดับ 1 เพื่อมาร่วมกันพัฒนาโครงการแนวราบหรูในประเทศไทย โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงเดือนมิถุนายนนี้
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ฯ กล่าวว่า ปัจจุบัน บริษัททำยอดขายได้แล้ว 6,000 ล้านบาท โดยมาจากโครงการแนวราบเป็นหลัก ซึ่งในช่วงไตรมาส 1/2561 บริษัทได้เปิดโครงการแนวราบไปแล้ว 4 โครงการ มูลค่า 3,600 ล้านบาท และจะไปเพิ่มน้ำหนักการเปิดโครงการใหม่ในครึ่งปีหลังทั้งหมด แบ่งเป็น แนวราบ 21 โครงการ มูลค่า 22,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 10,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนที่บริษัทตั้งไว้ที่จะเปิดโครงการใหม่รวม 29 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 35,800 ล้านบาท และมั่นใจว่ายอดขายในปี 2561 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 18,000 ล้านบาท
ส่วนการรับรู้รายได้ในปี 2561 บริษัทมั่นใจว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยปัจจุบันมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 5,600 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็น Backlog จากคอนโดมิเนียมและแนวราบในสัดส่วน 50:50 ซึ่งในปีนี้จะรับรู้รายได้จากโครงการแนวราบทั้งหดม และในปีนี้จะรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมเข้ามา 1,000 ล้านบาท